พรรคไทยสร้างไทยประกาศความชัดเจนทางการเมืองหลังมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา โดยระบุว่าได้ทาบทาม พลโทภราดร พัฒนถาบุตร อดีต เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้เป็นหนึ่งในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และเจ้าตัวยืนยันตอบรับแล้วในเบื้องต้น ท่ามกลางบรรยากาศเตรียมเข้าสู่การเลือกตั้งภายใน 60 วัน ขณะที่อีกฟากหนึ่ง นายกัณวีร์ สืบแสง ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคเป็นธรรม พร้อมก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลวัตตั้งแต่วันนี้ เพื่อเดินหน้าทำงานการเมืองต่อเพื่อประชาชน

ไทยสร้างไทยประกาศชื่อ ‘พล.ท.ภราดร’ ร่วมบัญชีแคนดิเดตนายกฯ
พรรคไทยสร้างไทยเผยว่า หลังพระราชกฤษฎีกายุบสภามีผลบังคับใช้ ประเทศเข้าสู่กระบวนการเตรียมเลือกตั้งทั่วไปภายในกรอบเวลาไม่เกิน 60 วัน ส่งผลต่อกำหนดการแถลงรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคที่ต้องเร่งปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นแบบกะทันหัน
ในช่วงที่ผ่านมา แกนนำพรรคได้หารือและเชิญ พลโทภราดร พัฒนถาบุตร ด้วยวาจา เพื่อเสนอชื่อเข้าร่วมบัญชีรายชื่อผู้ถูกเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเจ้าตัวยืนยันตอบรับข้อเสนอแล้ว และพรรคจะดำเนินการในส่วนขั้นตอนต่างๆ ให้เป็นไปตามระเบียบอย่างเป็นทางการ พร้อมชี้แจงต่อประชาชนและสื่อว่า พล.ท.ภราดร จะเป็นหนึ่งในรายชื่อหลักของพรรคในการแข่งขันเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการเสริมภาพลักษณ์ด้านความมั่นคงและประสบการณ์เชิงยุทธศาสตร์ให้แก่พรรคไทยสร้างไทย ในช่วงที่การแข่งขันทางการเมืองมีความเข้มข้นและต้องการบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือมาช่วยสร้างความมั่นใจแก่ฐานเสียง
‘กัณวีร์ สืบแสง’ ลาออกจากพรรคเป็นธรรม รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลวัต
อีกด้านหนึ่ง มีความเปลี่ยนแปลงสำคัญในพรรคการเมืองฝั่งก้าวหน้า เมื่อ นายกัณวีร์ สืบแสง โพสต์ข้อความผ่านเพจส่วนตัวพร้อมภาพหนังสือลาออกจากพรรคเป็นธรรม หลังหมดสถานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่าเป็นการตัดสินใจที่เกิดจากการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดในการลงมติสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าได้ขอโทษประชาชนและหวังว่าจะได้รับโอกาสอีกครั้งในอนาคต
ต่อมา นายกัณวีร์เปิดเผยว่า ได้ตอบรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลวัตอย่างเป็นทางการ โดยให้เหตุผลว่าต้องการเดินหน้าทำงานการเมืองเพื่อประชาชนต่อไป พร้อมประกาศเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดทิศทางของพรรค และขอแรงสนับสนุนในการสร้างพรรคการเมืองที่ตอบโจทย์สังคมร่วมสมัยมากขึ้น
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนภาพการจัดทัพใหม่ของพรรคการเมืองหลายพรรคท่ามกลางกระแสยุบสภา ซึ่งทำให้การปรับตัวและสร้างความพร้อมกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันเลือกตั้งรอบใหม่

