เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าพบพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้ปากคำในฐานะพยาน กรณีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ระหว่างกระทรวงดีอี กับบริษัทเอกชนจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับคดีพิเศษการสแกนม่านตาคนไทยกว่า 1.2 ล้านคน แลกเหรียญดิจิทัล โดยเจ้าตัวยืนยันการดำเนินการเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในขณะนั้น และมองว่าประเด็นดังกล่าวอาจถูกนำมาใช้ในมิติทางการเมือง
เข้าให้ปากคำในฐานะพยานคดีพิเศษ
รายงานข่าวระบุว่า การเข้าให้ปากคำของ ประเสริฐ จันทรรวงทอง ต่อพนักงานสอบสวน DSI เป็นส่วนหนึ่งของการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีพิเศษที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความถูกต้องของกระบวนการจัดทำ MOU ระหว่างหน่วยงานรัฐกับเอกชนต่างชาติ
ภายหลังการให้ปากคำ นายประเสริฐเปิดเผยว่า ได้ชี้แจงข้อมูลตามที่พนักงานสอบสวนสอบถามครบถ้วน พร้อมย้ำว่า การดำเนินการในช่วงดำรงตำแหน่งเป็นไปตามขั้นตอนของระบบราชการ และอยู่ภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น
ชี้แจงที่มา MOU เห็นสอดคล้องนโยบายรัฐ
แหล่งข่าวจากการสอบสวนระบุว่า นายประเสริฐให้การถึงกระบวนการประสานงานจากฝ่ายการเมือง ซึ่งมีการนำเสนอกลุ่มทุนจากประเทศสิงคโปร์เข้ามา โดยเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล จึงมอบหมายให้ข้าราชการประจำเป็นผู้ดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง
อดีตรัฐมนตรีกระทรวงดีอียังให้ข้อมูลว่า ก่อนมีการลงนามใน MOU ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และได้รับการยืนยันว่าการดำเนินการสามารถทำได้ตามกฎหมาย จึงเห็นชอบให้ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้ลงนามแทนฝ่ายกระทรวง
ยืนยันไม่รู้จักเอกชนสิงคโปร์ ไม่ทราบรายละเอียดใน MOU
ในคำให้การ นายประเสริฐยืนยันว่า ตนไม่มีความรู้จักเป็นการส่วนตัวกับกลุ่มทุนจากประเทศสิงคโปร์ และไม่ทราบรายละเอียดเชิงลึกที่ระบุไว้ใน MOU โดยระบุว่าบทบาทของรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นการกำหนดนโยบายและมอบหมายให้ฝ่ายปฏิบัติรับไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
การชี้แจงดังกล่าวถูกบันทึกไว้ในสำนวนคดีในฐานะพยาน เพื่อประกอบการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ในการประเมินข้อเท็จจริงและความเกี่ยวข้องของแต่ละฝ่าย
มองประเด็นถูกโยงเป็นการเมือง
อดีตรัฐมนตรีกระทรวงดีอี ระบุเพิ่มเติมว่า จากลักษณะของการนำประเด็นดังกล่าวมาเชื่อมโยงในช่วงเวลานี้ เห็นได้ว่าอาจมีมิติทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมย้ำว่าตนพร้อมให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ คดีพิเศษดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานจากหลายฝ่าย ก่อนสรุปความเห็นตามกระบวนการทางกฎหมาย โดยประชาชนสามารถติดตามความคืบหน้าคดีนี้ได้จากรายงานข่าวและแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


