วันที่ 26 ธันวาคม 2568 ดร.การดี เลียวไพโรจน์ เปิดใจครั้งแรกหลังได้รับการเสนอชื่อเป็นหนึ่งในสามแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของ พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายกรณ์ จาติกวณิช โดยยืนยันเป้าหมายหลักคือการแก้ปัญหาหนี้สินเชิงโครงสร้าง ฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และยกระดับชื่อชั้นประเทศไทยบนเวทีโลก ผ่านการทำงานแบบทีมเวิร์ก ไม่ใช่การเมืองแบบโชว์เดี่ยว พร้อมนำประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจอนาคตและดิจิทัลเข้ามาเสริมศักยภาพการบริหารประเทศ ท่ามกลางบริบทการเมืองที่ประชาชนกำลังมองหาความหวังใหม่ในการกู้เศรษฐกิจไทยให้กลับมาผงาดอีกครั้ง
เปิดใจเหตุผลรับบทแคนดิเดตนายกฯ ท่ามกลางเศรษฐกิจอึดอัด
ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ระบุว่า การตัดสินใจตอบรับตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีมาจากความตั้งใจที่จะใช้ความรู้และประสบการณ์ด้านดิจิทัล เทคโนโลยี และเศรษฐกิจแห่งอนาคต เข้ามาช่วยคลี่คลายปัญหาเชิงโครงสร้างที่กำลังบีบคั้นประเทศ ทั้งปัญหารายได้ ความเหลื่อมล้ำ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง
เขามองว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่ใช่เพียงวิกฤตตัวเลขเศรษฐกิจ แต่เป็น “ภาวะอึดอัด” ของสังคมไทยที่ต้องการทิศทางใหม่ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยังคงมีจุดยืนด้านความสุจริตและธรรมาภิบาลเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ
ผนึกกำลัง “อภิสิทธิ์-กรณ์” ชูจุดแข็งทีมเศรษฐกิจครบเครื่อง
แคนดิเดตนายกฯ ปชป. ทั้งสามคนถูกวางบทบาทอย่างชัดเจน โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้นำที่มีบารมีและประสบการณ์ระดับนานาชาติ ขณะที่ นายกรณ์ จาติกวณิช มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาคและการเงินโลก ส่วน ดร.การดี เลียวไพโรจน์ จะเข้ามาเติมเต็มมิติของเศรษฐกิจดิจิทัลและโอกาสใหม่ในอนาคต
เขาระบุว่าการทำงานร่วมกันของทั้งสามคนอยู่บน “DNA เดียวกัน” คือความซื่อสัตย์และการเมืองที่ยึดประโยชน์ประเทศเป็นหลัก โดยมองว่าความหลากหลายของประสบการณ์จะช่วยให้การแก้ปัญหาประเทศมีมุมมองที่รอบด้านมากขึ้น
ทีมเวิร์กไม่โชว์เดี่ยว ดันนโยบายแก้หนี้เชิงรุก
ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ย้ำว่าการบริหารประเทศในยุควิกฤตไม่สามารถพึ่งพาบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ การทำงานของแคนดิเดตทั้งสามจะเป็นรูปแบบทีมเวิร์กที่มีเป้าหมายร่วมกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาหนี้สินที่ต้องออกแบบนโยบายให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละกลุ่ม ทั้งคนเมือง ภาคธุรกิจ และเกษตรกร
นโยบายด้านหนี้จะเป็นการแก้ปัญหาเชิงรุก ไม่ใช่เพียงการประคองสถานการณ์ระยะสั้น พร้อมเชื่อมโยงกับการสร้างรายได้ใหม่และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ตั้ง KPI ฟื้นความโปร่งใส ดึงความเชื่อมั่นกลับประเทศ
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการประกาศใช้ตัวชี้วัดผลการบริหารประเทศหรือ KPI อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการยกระดับดัชนีความโปร่งใสและภาพลักษณ์ด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการดึงดูดการลงทุนและโอกาสทางเศรษฐกิจจากต่างประเทศ
ดร.การดี มองว่าการฟื้นความเชื่อมั่นไม่สามารถใช้วาทกรรมทางการเมืองได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัยผลลัพธ์ที่ตรวจสอบได้ พร้อมยืนยันว่าจะลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร สส. ของพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มที่ เพื่อสื่อสารแนวคิดและสร้างความเชื่อมั่นว่าทีมนี้พร้อมพาประเทศไทยกลับมาผงาดบนเวทีโลกได้จริง


