รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เตรียมแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา 12-13 กันยายนนี้ แม้ว่าตัวแทนฝ่ายรัฐบาลพยายามต่อรองกับฝ่ายค้าน และ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่าขอลดเวลาจาก 2 วัน เหลือเพียง 1 วันคือ 12 กันยายน 67
ขณะที่ฝ่ายค้าน นำโดย “พรรคประชาชน” เตรียมขุนพลซักฟอกนโยบาย 30-40 ชีวิต ลับมีดรอการชี้แจงฝ่ายรัฐบาล กำลังซักซ้อมผู้อภิปรายอย่างขมักเขม่น
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) นัดแรก ซึ่งที่ประชุมได้อนุมัติคำแถลงนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร ซึ่งมีความยาวอยู่ที่ 75 หน้า
ในคำแถลงนโยบายของ “แพทองธาร” เริ่มต้นด้วยการระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายอยู่หลายประการ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ที่เราเติบโตน้อยกว่าศักยภาพจริง ปัญหาหนี้สินเรื้อรัง ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้นทุกทีปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคมและการเมือง
ทั้งหมดนี้คือ “ความท้าทาย” ที่รัฐบาลพร้อมจะประสานพลังกับทุกภาคส่วน (Collaboration) เปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็น “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม” ของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม (Inclusiveness)รัฐบาลพร้อมเสริมศักยภาพสร้างโอกาสให้ประชาชนทั้งบทบาทและสิทธิ (Empowerment) เพื่อพลิกฟื้นประเทศจากปัญหา ที่รุมเร้าและทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
รัฐบาลตระหนักดีว่าความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทั้งเรื่องปัญหาหนี้สินรายได้ ค่าครองชีพ รวมทั้งความมั่นคงและปลอดภัยในสังคม คือ ปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ด้วยการแก้หนี้ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาที่กระทบความมั่นคงของสังคม เพื่อนำความหวังของคนไทยกลับมาให้เร็วที่สุด โดยมีนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการทันที ดังนี้
นโยบายแรก รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบโดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ภายใต้ปรัชญา ที่จะไม่ขัดต่อวินัยทางการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ของผู้มีภาระหนี้สิน ควบคู่กับการเพิ่มความรู้ทางการเงินและส่งเสริมการออมในรูปแบบใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย โดยจะดำเนินนโยบายผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์
นโยบายที่สอง รัฐบาลจะดูแลและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ ของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติโดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาหนี้ของ SMEs เช่น การพักหนี้การจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อประคับประคองให้กลับมาเป็นกลไกที่แข็งแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นโยบายที่สาม รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค ปรับโครงสร้างราคาพลังงานควบคู่กับการเร่งรัดจัดทำ ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) รวมทั้งการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน
พร้อมทั้งผลักดันการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ (Mass Transit) และการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในเขตกรุงเทพมหานครเพื่อรองรับนโยบาย “ค่าโดยสารราคาเดียว” ตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าเดินทาง
นโยบายที่สี่ รัฐบาลจะสร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษีที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50 ของ GDP เพื่อนำไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษาสาธารณสุข และสาธารณูปโภค รวมทั้งอุดหนุนค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานของประชาชน พร้อมทั้งจะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
นโยบายที่ห้า รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้น ให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพโดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก และผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐ ที่มุ่งการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน พร้อมเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน และการประกอบอาชีพ
นโยบายที่หก รัฐบาลจะยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย โดยใช้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” นำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Agri-Tech)เช่น เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และเทคโนโลยีด้านอาหาร (Food Tech) มาใช้พัฒนาอาชีพด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร
รวมถึงการคว้าโอกาสในตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งอาหารฮาลาล และฟื้นนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของโลก ด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร รวมทั้งเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกร
นโยบายที่เจ็ด รัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการสานต่อความสำเร็จ ในการปรับโครงสร้างการตรวจลงตราทั้งหมดของประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่าเช่น กลุ่มผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล (Digital Nomad) ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 1.892 ล้านล้านบาท ในปี 2566 โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่
เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทยรวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว
นโยบายที่แปด รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้นควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด การค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ตลอดจนการบำบัดรักษา ผู้ติดยาเสพติด การฝึกอาชีพ การศึกษา และการฟื้นฟูสภาพทางสังคม รวมทั้งมีระบบติดตามดูแล ช่วยเหลือเพื่อไม่ให้กลับไปสู่วงจรยาเสพติดอีก เพื่อคืนคนคุณภาพกลับสู่สังคม
นโยบายที่เก้า รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านและสร้างกลไกการร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์
นโยบายที่สิบ รัฐบาลจะส่งเสริมพัฒนาศักยภาพ และจัดสวัสดิการสังคม ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่สำคัญ ได้แก่ คนพิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติเพื่อให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐได้โดยสะดวกตามที่กฎหมายบัญญัติ
ถอดรหัสทั้ง 10 นโยบาย จะพบนโยบายแบ่งได้ดังนี้
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ – ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน อาทิ นโยบายดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท , ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบโดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ,ปรับโครงสร้างราคาพลังงาน,เจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา,นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย , ยกระดับสินค้าเกษตร – อัพเกรดเกษตรกร ทั้ง Agri-Tech , Food Tech
นโยบายส่งเสริมการค้าการลงทุน อาทิ ปกป้องผลประโยชน์ ของผู้ประกอบการ SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติโดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ , การพักหนี้ SMEsการจัดทำ Matching Fund ลงทุนร่วมระหว่างรัฐกับเอกชน
นโยบายดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ อาทิ นโยบายสร้างสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) , อำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่าเช่น ทั้งกลุ่มผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และกลุ่ม Digital Nomad , ส่งเสริมการท่องเที่ยว สานต่อสนามบินอันดามัน สนามบินล้านนา , นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย , ส่งเสริมเมืองน่าเที่ยว
นโยบายด้านสังคม อาทิ ดึงเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นบนดิน เพื่อนำเงินไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษาสาธารณสุข และสาธารณูปโภค , เร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/ มิจฉาชีพ , แก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 10 นโยบายของรัฐบาล ต้องเจอกับการซักฟอกของฝ่ายค้าน
“ศิริกัญญา ตันสกุล” รองหัวหน้าพรรคประชาชน หัวหอกเตรียมข้อมูลอภิปรายนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร เตรียมจัดทัพ 30-40 ขุนพล ในการซักฟอกนโยบาย
“น่าจะดุเดือด เพราะรัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลใหม่ถอดด้าม แต่สืบทอดมาจากรัฐบาลที่แล้ว ยังเป็นรัฐบาลเพื่อไทยอยู่ จึงจะมีกลิ่นอายการตรวจการบ้าน 1 ปี ของนโยบายที่เคยแถลงไว้ รวมถึงทวงถามสัญญาที่เคยมีไว้ ตอนหาเสียงเลือกตั้ง หรือการพูดนโยบายในต่างกรรมต่างวาระ ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และความคาดหวังว่าประเทศจะเดินหน้าไปอย่างไร ในอีก 3 ปีข้างหน้า ดังนั้น อาจจะมีความดุเดือดเล็กน้อย เพราะเราผิดหวังการทำงาน 1 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การนำของนายเศรษฐา”
ขณะที่ “อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) หัวหอกตอบโต้ฝ่ายค้าน ไม่กังวล ฝ่ายค้านจะอภิปราย 30 คน 40 คน หรือทั้งพรรคก็ถือเป็นสิทธิ์ แต่ต้องยอมรับว่าวันนี้รัฐบาลของน.ส.แพทองธารมีเสถียรภาพ มีความเข้มแข็ง ซึ่งเห็นได้จากการโหวตร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2568 ที่ผ่านมา
1 ปีที่ผ่านมาภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ทำไปได้หลายเรื่องและชัดเจนขึ้นมาโดยลำดับ ซึ่งรัฐบาลของน.ส.แพทองธารจะมาสานต่อ อะไรที่ผลักดันแล้วกำลังจะเกิดก็จะมาผลิดอกออกผลในช่วงนี้
ไม่มีความกังวล เพราะเข้าใจดีว่าเป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ทุกฝ่ายต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดี และประชาชนก็ติดตามดูอยู่ และตนคิดว่าเวทีนี้จะเป็นเวทีที่ได้มาตรวจการบ้านรัฐบาลด้วยว่า 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลเพื่อไทยมีอะไรเกิดขึ้นแล้วบ้าง และอะไรกำลังทำอยู่ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เสนอแนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลยินดีรับฟัง
“การมีองครักษ์คงไม่ต้อง เพราะคนที่อภิปรายและหรือคนที่อาจจะเป็นองครักษ์ถูกตรวจสอบโดยประชาชนอยู่แล้ว คือหากการอภิปรายเกินกว่ากรอบหรือไม่อยู่บนพื้นฐานของความสร้างสรรค์ การติเพื่อก่อ ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน ในทางกลับกันคนที่จะเป็นองครักษ์จะลุกขึ้นสกัดหรือประท้วงโดยไม่สมเหตุสมผล ประชาชนก็จะวิเคราะห์และประเมินเช่นกัน ฉะนั้น โอกาสที่ทัวร์จะลงเกิดขึ้นได้ทุกฝ่าย จึงขอทุกฝ่ายทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาW
12-13 กันยายนนี้ พลาดไม่ได้