ภูมิธรรม เวชยชัย ปลุกความเชื่อมั่น ‘ปท.’ ปั๊มผลงาน-รบ.ครบ4ปี

ในปี 2568 รัฐบาลคาดหวังผลงานที่ทำมาจะเริ่มออกดอกผลที่เป็นรูปธรรม ประชาชนจับได้ ในส่วนนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวไว้แล้วว่า ในปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสของพี่น้องประชาชน เพราะเราเชื่อว่า ที่รัฐบาลเข้ามาทำงานใน 1 ปีนี้ เราได้เรียนรู้กรอบรายละเอียด และปัญหา ข้อติดขัดต่างๆ พอสมควร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะทำนั้นเป็นการแก้ข้อจำกัดและสร้างโอกาสให้เกิดขึ้น การจะสร้างโอกาสให้เกิดขึ้นได้นั้น เราต้องดึงทรัพยากรต่างๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจ งานด้านความมั่นคง และทุกภาคส่วนเดินหน้า

การสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ จะมีส่วนช่วยให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นนำงบประมาณมาลงทุนในประเทศ เม็ดเงินที่ลงทุนจะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการหมุนเวียนและเติบโตยิ่งขึ้น รวมทั้งจะมีส่วนช่วยสร้างโอกาสให้กับคนภายในประเทศไทยด้วย ทั้งการจ้างงาน การจับจ่ายใช้สอย เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ สิ่งที่เป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่ทำไปแล้ว ตั้งแต่ปลายปี 2567 เรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ตรงนี้ทำไปบ้างแล้วสองสาย คาดหวังเอาไว้ว่าจะขยายไปในสายอื่นๆ อีกตามเป้าหมายในเดือนกันยายนนี้

เรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในระยะที่สองหมายถึงโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ขณะนี้รัฐบาลได้จ่ายเงินไปแล้วในเฟส 1 ให้กับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ส่วนเฟสที่ 2 จะจ่ายให้กับกลุ่มผู้สูงอายุอีก 4 ล้านคน เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีโอกาสที่จะได้จับจ่ายใช้สอยซื้อสิ่งของอุปโภคบริโภค และเฟสที่ 3 จะจ่ายให้กลุ่มอื่นๆ ที่เหลืออยู่ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต

โดยเป้าหมายของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต คือการเพิ่มกำลังซื้อ ถ้ากำลังซื้อมีความเข้มแข็งเราเชื่อว่ากระบวนการทางเศรษฐศาสตร์ การจับจ่ายใช้สอยที่มีกำลังซื้อมากขึ้น จะทำให้เกิดวงรอบ การหมุนทางเศรษฐกิจหมุนขึ้นมาได้อีกหลายรอบ ผ่านแนวทางของรัฐบาล คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ที่รัฐบาลดำเนินการผ่านนโยบายต่างๆ เพื่อให้เม็ดเงินลงไปถึงมือประชาชน ทั้งงบประมาณโครงการเอสเอ็มแอลลงไปที่หมู่บ้าน

ส่วนการแก้หนี้ครัวเรือนรัฐบาล มีกระบวนการอย่างที่เคยแถลงไปแล้วว่า เราจะลดดอกเบี้ย แล้วพยายามที่จะนำหนี้ดีแล้วประสบปัญหาให้มีการพักชำระหนี้อย่างน้อย 3 ปี ซึ่งรัฐบาลจะช่วยดูแล สำหรับเงินกองทุนฟื้นฟูที่จะช่วย SME ก็จะเกิดผลเป็นรูปธรรม อย่างที่นายกฯเคยบอกว่า “ถ้าคุณสู้ เราจะช่วย” นั่นหมายความว่าเราเรียกร้องให้ร่วมกันแก้ปัญหา เราไม่อยากเห็นการแก้ปัญหาแบบแจกหรือแบบมอบ เราถือว่าเป็นภาระหน้าที่คุณ เช่นเงิน 10,000 บาท ดิจิทัลวอลเล็ต ก็เป็นหน้าที่คุณที่จะช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศ เป็นภาระที่เกี่ยวข้องกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องรถยนต์และบ้านที่อยู่อาศัย จะมีมาตรการที่จะช่วยในการที่ทำข้อตกลงต่างๆ กับธนาคารไว้ ทำให้ประชาชนสามารถบรรเทาความทุกข์ได้ ทุกอย่างนี้จะทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นดีขึ้น

ผมเชื่อว่าในปี 2568 นี้เศรษฐกิจจะดีขึ้น หลังจากที่ทุกอย่างเราทำตามความคาดหวังเอาไว้แล้ว เพราะถ้าอยู่แล้วเราไม่ทำอะไรเลย เศรษฐกิจคงจะนิ่ง การประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ดี หรือเศรษฐกิจของประเทศจะไม่ดีนัก เราก็ไม่ได้ขัดอะไร มันก็เป็นสภาวะนั้น ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็จะเป็นไปตามนั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในที่เราทำ ถ้าเราทำอะไรได้ดี แล้วมันดีแต่อาจจะไม่ดีมากเหมือนกับในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจที่ดีอยู่ แต่มันก็ดีขึ้นได้ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่ 2 ปัจจัย อย่าไปมองเฉพาะปัจจัยภายนอกอย่างเดียวจะดูห่อเหี่ยวไป แต่ยังเชื่อว่ายังมีความหวัง มีโอกาส ถ้าเราเติมกระบวนการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาลลงไป จะทำให้ปี 2568 เป็นปีที่ผลิดอกออกผล คาดหวังว่าเศรษฐกิจจะโตไม่ต่ำกว่า 3%

สำหรับเศรษฐกิจในเรื่องการท่องเที่ยวเชื่อว่าที่ทำเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ และมีแคมเปญที่เป็นสีสันต่างๆ ในวัฒนธรรมไทย จะเป็นการช่วยฉุดดึงให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ก็พอเห็นแล้วว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยกันจำนวนมากขึ้น แล้วเราก็พยายามที่จะจำกัดให้มีทัวร์ที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งนี่ก็เป็นการบริหารการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาทางรัฐบาลก็ทำได้ แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่อีเวนต์อย่างเดียวต้องอยู่ที่ศักยภาพของคนไทย นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้แล้วว่า ซอฟต์พาวเวอร์เป็นรากฐานทางวัฒนธรรมที่สามารถมาต่อยอด และสามารถสร้างความนิยมให้คนสนใจมาดู ตัวเลขการท่องเที่ยวในขณะนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ หากการท่องเที่ยวดีจะมีผลต่อเศรษฐกิจที่ดีอีกเช่นกัน

เพราะฉะนั้นหลายๆ มาตรการมาช่วยสนับสนุนกันจะสามารถทำให้วงจรทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ แล้วมีผลต่อกันและกันมากขึ้น เราก็ยังยืนอยู่ในนโยบายลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเงิน 10,000 บาท ที่รัฐบาลให้ไปนั้น ส่วนหนึ่งก็นำไปใช้แก้ปัญหาในเรื่องรายจ่าย อีกส่วนหนึ่งนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้

นโยบายสำคัญที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ อย่างการแก้ปัญหายาเสพติด มีแนวทางอย่างไร

ส่วนเรื่องที่คู่กับเรื่องเศรษฐกิจและมีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ เรื่องยาเสพติด เป็นปัญหาทุกที่ และปัญหาที่สำคัญของเจ้าหน้าที่คือปัญหาในเรื่องของการบูรณาการให้ทุกหน่วยงานสามารถมองเห็นเป้าหมายและเดินไปในทิศทางเดียวกัน ผมได้รับมอบจากนายกรัฐมนตรีให้ดูแลเรื่องยาเสพติด ขณะนี้ผมได้เรียกให้ทุกหน่วยงานที่กำกับดูแล อาทิ กระทรวงกลาโหม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กองอำนวยการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย โดยให้ผู้บังคับหน่วยของแต่ละหน่วยงานมานั่งคุยกัน โดยฝ่ายทหารทำหน้าที่ในการซีลชายแดน เพิ่มความเข้มข้นการตรวจสกัดจับยาเสพติดตามช่องทางธรรมชาติเป็นการสกัดกั้นยาเสพติดในชั้นแรก ซึ่งขณะนี้ยาเสพติดเข้ามาในสามส่วน คือทางเหนือ บริเวณตรงข้ามแม่น้ำโขงทางอีสาน ชายแดนตลอดแนวไปจนถึงทางกัมพูชา และอีกส่วนหนึ่งคือทางตะวันตก เป็นด่านใหม่ เพราะหนีการจับกุมทั้งสองฝั่งเลยมาเข้าทางฝั่งทางตะวันตก

ผมมีแนวทางที่จะสกัดกั้นยาเสพติดด้วยการซีลชายแดนสองชั้น โดยนำ 51 อำเภอ 14 จังหวัดที่ติดชายแดนมาบูรณาการ ทั้งตำรวจ ฝ่ายปกครอง และทหาร ถ้าทำอย่างเข้มแข็ง เข้มข้น ผมเชื่อว่าสามารถลดปัญหาทางด้านยาเสพติดไปได้ ให้ดูจากท่าวังผาโมเดล จ.น่าน และธวัชบุรีโมเดล จ.ร้อยเอ็ด ทั้งสองโมเดลนี้ มีการบูรณาการกันได้และมีความเข้มแข็ง ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องยาเสพติดได้จำนวนมาก โดยจะเชิญทั้งผู้กำกับการสถานีทั้ง 76 สถานีตำรวจ นายอำเภอทั้ง 51 อำเภอ รวมถึงผู้บังคับการจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ มาด้วย มาประชุมพูดคุยและมอบนโยบาย พร้อมทั้งคิกออฟทันทีที่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 20 มกราคม 2568 จะประเมินผลงานในทุก 6 เดือน หากพื้นที่ใดมีผลงานการจับกุมที่เข้มแข็งและมีผลงานที่เด่นชัดจะมีการพิจารณาความดีความชอบต่างๆ ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของผู้กำกับการสถานีตำรวจ และนายอำเภอ ที่จะมีการวางแผนทำงานให้มีความเข้มข้นเพราะเป็นผู้ที่รู้ดีในพื้นที่มากที่สุด และอีกเรื่องหนึ่งผมจะดูแลรับภาระในเรื่องของการปราบปรามผู้มีอิทธิพล เพราะงานที่ผมรับผิดชอบอยู่นี้มันเกี่ยวข้องกันทั้งหมด

ประเมินการเมืองปี 2568 จะมีปัจจัยใด ที่กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

ในมุมมองของผมจะมีถามว่ากังวลใจอะไรหรือไม่ ผมก็มองว่าไม่น่ากังวลใจอะไร สิ่งที่รัฐบาลนี้ยึดเป็นสาระและหัวใจในการทำงาน คือ เราพยายามชี้แจงทุกเรื่องให้เข้าใจ เพียงแต่บางเรื่องถ้าจะคุยกันโดยไม่เปิดเผยก็พอที่จะพูดคุยกันได้ เพราะหลายเรื่องเป็นกระบวนการในการแก้ปัญหา เกี่ยวกับเขตแดนก็ดี เป็นกระบวนการทางการทูต เป็นการเจรจาทางกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาด้วยการสัมภาษณ์ออกสู่สาธารณะ เพราะฉะนั้นในเวลานี้รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาทั้งทางราชการควบคู่ไปกับการใช้การพูดคุยต่างๆ รัฐบาลได้ทำอยู่ตลอด

ผมมองว่าเป็นสิทธิของผู้มีความเห็นต่างถ้ายอมรับในระบอบประชาธิปไตยก็ต้องทำใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้ หน้าที่ของเราคือชี้แจงข้อเท็จจริง ผมเชื่อว่าถ้ามีคำชี้แจงที่ชัดเจนประชาชนจะเข้าใจ หากมีการเดินขบวนก็จะต้องอยู่ในขอบเขต ที่เป็นความเห็นต่าง ต้องเคารพคนอื่นตามสิทธิของกฎหมาย ผมมองว่าถ้าหากเดินตามนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าออกนอกกรอบก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม

กรณีเอ็มโอยู ปี 2544 ที่อาจส่งผลให้มวลชนบางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านรัฐบาลนั้น เรายังยึดหลักการเดิมว่าควรใช้ความอดทน อดกลั้น และความเข้าใจ เรื่องเอ็มโอยู 2544 กรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศรู้ดีที่สุด ไม่มีใครรู้เรื่องหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เรื่องดินแดนดีเท่ากรมสนธิสัญญาฯ นักกฎหมายระหว่างประเทศที่เชี่ยวชาญเป็นที่ยอมรับในนานาประเทศก็อยู่ที่กรมสนธิสัญญาฯ ถึงได้ให้กรมสนธิสัญญาฯชี้แจงรายละเอียด แต่กลับถูกจับมาเป็นประเด็น ทั้งเกาะกูดจะถูกยึด ผมไปเยี่ยมมา ก็อยู่กันมีความสุขดีไม่มีปัญหาอะไร และยังไม่เคยมีใครมาอ้างสิทธิว่าเกาะกูดเป็นของคนนั้นคนนี้

เอ็มโอยู 2544 เป็นแค่สัญญาว่าอะไรที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ก็ให้สองฝ่ายมาเจรจากัน โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คือ ต้องเป็นเรื่องที่ประชาชนและรัฐสภาทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน และเป็นเรื่องที่ต้องอิงหลักกฎหมายทั่วไป มันเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเพียงสนธิสัญญาที่ตีกรอบให้เกิดการเจรจากันโดยสันติ แต่ก็มาปั่นกันไปไกลมากจนจะออกนอกอวกาศอยู่แล้ว ผมคิดว่าไม่ใช่ประเด็น และขณะนี้ที่ช้าก็เพราะว่ามีการรับฟังความเห็น

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มองว่าพรรคเพื่อไทยยื้อเวลานั้น ผมมองว่าเรื่องนี้ทุกพรรคก็เผชิญปัญหาเหมือนกันหมด เรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่สุดทุกคนรู้ เราถึงตั้งเป้าว่าจะพยายามทำให้เสร็จในรัฐบาลนี้ ความสำเร็จหรือไม่สำเร็จมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความปรารถนาอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับกระบวนการทำงานที่เป็นไปได้ เราระดมความคิดเห็นต่างๆ แล้วใช้การประชาสังคม ผมเชิญผู้เกี่ยวข้องมาพูดคุย เสร็จแล้วไปทำประชาคมในทุกส่วนที่ทำได้ ออกมาระดับหนึ่ง นั่นคือความคาดหวังของคนในสังคมที่จะทำได้ แต่ความเป็นจริงในการปฏิบัติ ต้องยอมรับว่าข้อเท็จจริงที่แต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายยึดมั่น ไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจแล้วก็ผ่านไปได้ง่ายๆ ก็ต้องทำแล้วทำอีก

วันนั้นเราตั้งเป้าว่าจะแก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จแล้วเราจะใช้รัฐธรรมนูญใหม่มาเลือกตั้งในครั้งต่อไป แต่มาดูตรงนี้แล้วก็คงจะยาก ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลเองที่เคยคุยว่าจะเอาเหมือนกัน พอถึงเวลาก็กลายเป็นอีกแบบหนึ่งเพราะว่ามีความเชื่อที่อิสระและแตกต่างกัน จะไปว่าเขาก็พูดยาก เพราะอาจจะเพิ่งได้ข้อมูลครบถ้วนแล้วอาจจะรู้สึกก็ได้ แต่สิ่งนี้จะพิสูจน์กันด้วยการให้ประชาชนดูว่าเป็นอย่างไร

ความสัมพันธ์และการทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาล มั่นใจหรือไม่ว่ารัฐบาลจะบริหารงานได้ครบวาระ

ขอประชาชนเชื่อมั่นว่าในปี 2568 พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเติบโตมาจากนโยบายการแก้ปัญหา และการทำงานที่เสนอจริงทำได้จริง อย่างที่เคยพูดไว้ว่า “เมื่อคุณพูดเราจะฟัง ประชาชนเขาฟังเมื่อคุณพูด แต่ถ้าเขาจะเชื่อ ก็ต่อเมื่อคุณทำให้เขาเห็น” เพราะฉะนั้นพรรค พท.ที่ผ่านมาเราพิสูจน์กันตรงนี้ว่าเราพูดแล้วเราทำ สิ่งไหนที่เราทำไม่ได้ เราจะต้องพยายาม หาเหตุผลมาให้ได้ว่าทำไมจึงทำไม่ได้เพราะอะไร เราจะได้รู้ว่าหนทางการแก้ไขจะอย่างไรต่อไป ผมเชื่อว่าภายใต้การทำนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เราลำบากตอนเริ่มต้นการปูพื้นฐาน หลังจากเสร็จแล้ว ทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดี

ผมเชื่อว่าปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสของประชาชนทุกคน ตามที่ นายกฯได้ประกาศไว้แล้วว่าจะเดินหน้าลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ และขยายโอกาสให้กับประชาชน

ส่วนความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลที่อาจมีแนวทางบางเรื่องที่เห็นต่างกัน อย่างร่าง พ.ร.บ.ประชามตินั้น เรื่องนี้ไม่กังวล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการโหวตสวนของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะระดับแกนนำพรรคยังพูดคุยกันรู้เรื่อง ถ้าเห็นเหมือนกันหมดก็แปลว่าเป็นพรรคเดียวกัน แต่เป็นคนละพรรคจึงมีความเห็นที่ต่างกัน และการเห็นต่างแต่ร่วมกันได้แสดงว่าต้องมีจุดร่วม ทุกคนอยากเห็นประเทศเดินหน้า หรือแม้กระทั่งสีต่างๆ ก็ยังพอกลมกลืนกันได้ ดังนั้นเรื่องนี้ผมคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร

หลายคนถามว่ารัฐบาลจะอยู่ครบ 4 ปี หรือไม่นั้น ถ้าเข้าใจว่าเป็นรัฐบาลผสมไม่ใช่รัฐบาลที่มีความเห็นเหมือนกัน แต่มีจุดหมายร่วมกัน รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลผสม มาร่วมกันเพราะมีวัตถุประสงค์ คือต้องการให้ประเทศเดินหน้า เพราะเห็นปัญหามานานกว่า 10 ปี ในความจำเป็นและความเห็นพ้องต้องกันจึงพยายามร่วมกันให้มากที่สุด ตอนนี้ยังเชื่อมั่นว่าจะอยู่ครบ 4 ปี และเชื่อว่าทุกปัญหาจัดการได้ด้วยความเข้าใจและอดทน

ดังนั้นการเป็นรัฐบาลหลายพรรค ผมพยายามเปิดมุมมองให้เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ผมพยายามอธิบายให้เข้าใจ สิ่งที่ผมอยากเห็นคือความสอดคล้องในการทำงานร่วมกันมากที่สุด เพราะประเทศบอบช้ำมาเป็นเวลานานนับ 10 ปี จึงต้องการความเชื่อมั่น โอกาส และกำลังใจในการทำงานร่วมกันถึงที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศและประชาชน รัฐบาลมีหน้าที่คิดและผลักดัน ผมคิดว่าจะเกิดขึ้น
ได้จากความร่วมมือกันทุกฝ่าย เพื่อให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าอย่างดี

ข้อมูล/ภาพ : มติชน

โรม ยันฝ่ายค้านตรวจสอบเข้มข้น แต่โดนพิษนิติสงครามป่วนสมาธิ

จีนอ้าแขนรับต่างชาติทำธุรกิจในฮ่องกง ภายใต้นโยบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ”