ตำรวจไซเบอร์ประสานธนาคารอายัดเงินเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2 ล้านบาท ได้ทันฉิวเฉียด ผู้เสียหายเป็นอดีตครูหญิงวัย 85 ปี ถูกคนร้ายอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังข่มขู่ว่ามีสลากออมสินเกินกฎหมายกำหนดต้องเสียภาษี พูดคุยหว่านล้อมให้โหลดแอปดูดเงินไปเกลี้ยง 2 ล้านบาท หลานชายพาโร่แจ้งความตำรวจประสานธนาคารเช็กเส้นเงินพบถูกโอนต่อไปอีก 2-3 บัญชี สุดท้ายอายัดทันได้คืนครบ เสียค่าธรรมเนียมแค่ 200 บาท อีกรายข้าราชการสาวเมียอดีตที่ปรึกษา รมช.พาณิชย์ หวิดตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลฯ โชคดีผัวได้ยินคุยโทรศัพท์แจ้งตำรวจบุกช่วยได้ทันขณะเปิดห้องพักรีสอร์ตเตรียมโอนเงินให้มิจฉาชีพ รอดสูญเงินหวุดหวิด
ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 5 ก.พ. นางผาสุข ทิศเสถียร อายุ 85 ปี อดีตข้าราชการครู ชาว จ.นนทบุรี พร้อมหลานชาย เข้าพบ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รรท.ผบก.สอท.1 ให้ช่วยติดตามตัวคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกให้ติดตั้งแอปฯดูดเงินจากบัญชีธนาคาร 2 ล้านบาท และให้ตำรวจเร่งรัดอายัดเงินที่โอนไปให้ด้วย
ภายหลังการสอบปากคำอย่างละเอียดนานกว่า 1 ชม. พล.ต.ท.ไตรรงค์เผยว่า คดีนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจากกระทรวงการคลัง โทรศัพท์ติดต่อมาหาผู้เสียหายเมื่อวันที่ 4 ก.พ. แจ้งว่าสลากออมสินของคุณยายผู้เสียหายมีอยู่ 4 ล้านบาทเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หากไม่ทำให้ถูกต้องหรือทำให้เงินในบัญชีเหลือน้อยกว่า 2 ล้านบาทจะถูกเรียกเก็บภาษี คนร้ายหลอกล่อให้คุณยายพูดคุยโดยการวิดีโอคอลประมาณ 1 ชั่วโมง ล่อลวงให้โหลดแอปพลิเคชันธนาคารและหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงินมาไว้ในมือถือสอนให้คุณยายเข้าไปในแอปธนาคารและทำธุรกรรมการเงินรวมถึงสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนตามขั้นตอน ก่อนจะดูดเงินออกจากบัญชีธนาคารไปเป็นจำนวนเงิน 2 ล้านบาท ภายหลังหลานชายทราบเรื่องได้พาไปแจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ให้ดำเนินการอายัดบัญชี
พล.ต.ท.ไตรรงค์กล่าวต่อไปว่า หลังทราบรายละเอียดมอบหมายให้ พ.ต.อ.ศรายุทธ จุณณวัตต์ รรท.ผบก.สอท.2 สืบสวนสอบสวนติดตามเงินของผู้เสียหาย ให้ทีมงานประสานงานกับธนาคารเพื่อตรวจสอบและระงับการทำธุรกรรมทางการเงินต่อจาก สภ.ปากเกร็ด ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีต้นทางผ่านไปยังบัญชีสุดท้ายปลายทางรวมแล้วกว่า 2-3 บัญชี สุดท้ายตำรวจไซเบอร์ร่วมกับธนาคารสามารถระงับบัญชีธนาคารปลายทางได้สำเร็จ ได้รับการประสานกลับมาจากธนาคารปลายทางว่าสามารถระงับเงิน 2 ล้านบาท ของผู้เสียหายไว้ได้ แต่จะถูกหักค่าธรรมเนียมการโอนเงินไว้ 200 บาท ขั้นตอนต่อไปจะทำหมายอายัดเพื่อนำเงินมาคืนให้ผู้เสียหายต่อไป ขณะที่การสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบัญชีม้าหรือผู้ร่วมกันกระทำความผิด ตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนขยายผล ส่วนชื่อของเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังที่คนร้ายนำมาแอบอ้าง เชื่อว่าน่าจะเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงเพราะเป็นรูปแบบเดิมของมิจฉาชีพที่มักจะอ้างชื่อเจ้าหน้าที่รัฐ
พล.ต.ท.ไตรรงค์กล่าวอีกว่า อยากให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มผู้สูงอายุ ที่อาจจะรู้ไม่เท่าทันแก๊งมิจฉาชีพเพราะไม่ชำนาญเรื่องเทคโนโลยี อีกทั้งขอฝากประชาสัมพันธ์ให้คนอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปโหลดแอปพลิเคชัน “Senior’s Community Cyber Police Club” เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงจากแก๊งมิจฉาชีพ อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้จะรีบดำเนินการนำเงินมาคืนผู้เสียหายให้เร็วที่สุด หลังจากผู้เสียหายทราบว่าสามารถติดตามเงินคืนได้ ก็แสดงอาการดีใจ กล่าวขอบคุณตำรวจปากเกร็ดและตำรวจไซเบอร์ที่ช่วยกันดำเนินการติดตามอายัดเงินไว้ได้ทัน ฝากไปถึงประชาชนทั่วไปหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ให้รีบไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ เพื่อให้ตำรวจประสานงานไปยังธนาคารรีบอายัดเงินในบัญชีให้ทันท่วงที
อีกรายเมียอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีหวิดตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกัน สายตรวจ สภ.เมืองชัยนาท ได้รับแจ้งจาก นายณัชรัตน์ กล่ำทวี อายุ 56 ปี อดีตที่ปรึกษา รมช.พาณิชย์ ว่า น.ส.บี (นามสมมติ) ภรรยาเป็นข้าราชการระดับ 7 ฝ่ายการเงินของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งใน จ.ชัยนาท ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์มาหลอกลวงให้ไปเปิดห้องพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในตัวเมืองชัยนาท เพื่อพูดคุยเจรจาหว่านล้อมให้หลงเชื่อโอนเงินให้
เมื่อกำลังตำรวจไปถึงได้เคาะประตูห้อง ปรากฏว่า น.ส.บี เปิดประตูออกมาด้วยท่าทีตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก ในมือถือโทรศัพท์คุยวิดีโอคอลอยู่กับปลายสายเป็นตำรวจเอไอ อ้างตัวชื่อ ร.ต.อ.ธนาวิทย์ วงษ์มูน รอง สว.สส.สภ.เมืองอุบลราชธานี พอตำรวจจริงขอคุยด้วยก็รีบวางสายทิ้งทันที เมื่อ น.ส.บี รู้ตัวว่าเกือบจะตกเป็นหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่สามีไหวตัวทันแจ้งตำรวจมาช่วยไว้ได้ก่อนที่จะโอนเงิน เจ้าตัวถึงกับดีใจที่ไม่สูญเงิน จากนั้นตำรวจนำตัวไปแจ้งความที่ สภ.เมืองชัยนาท เพื่อดำเนินคดีกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่อไป
นายณัชรัตน์ สามีผู้เสียหายเผยว่า ก่อนเกิดเหตุในช่วงเช้าภรรยารับโทรศัพท์ได้ยินแว่วๆว่าคุยกับปลายสายเรื่องเกี่ยวกับการกระทำความผิด เปิดบัญชีธนาคารในจังหวัดอุบลราชธานี 14 ล้านบาท เพื่อฟอกเงินแล้วภรรยาก็ขับรถออกจากบ้านไปไหนไม่รู้ ไม่ได้ใส่ชุดข้าราชการไปทำงาน มารู้อีกทีภรรยาส่งข้อความมาบอกว่าอยู่ที่รีสอร์ตในตัวเมือง ตามมาเจอรถภรรยาจอดอยู่รีบโทร.แจ้งตำรวจทันทีเพราะเชื่อว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงแน่นอน กลัวว่าภรรยาจะถูกอุ้มหรือถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ สอบถามภรรยาทราบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์พูดจาหว่านล้อมให้มาเปิดห้องไว้เพื่อจะช่วยเหลือผ่อนหนัก เป็นเบา ภรรยาก็หลงเชื่อกลัวว่าจะมีความผิดเพราะเป็นข้าราชการด้วย กลัวกระทบกับงาน ตนก็เข้าใจและไม่อยากตำหนิ อยากฝากไปถึงรัฐบาลไทยให้เข้มงวดกวดขันจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้เด็ดขาด

ข้อมูล / ภาพ : ไทยรัฐ