กฎมัสต์แครี่ คืออะไร เหตุใดจึงเป็นต้นตอให้ TrueID ฟ้อง กสทช. พิรงรอง 

ในวันนี้ (6 ก.พ.) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน จะมีการนัดฟังคำพิพากษา ในคดีระหว่างฝ่ายโจทก์ คือ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด และจำเลย คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีออกหนังสือเตือนการโฆษณาแทรกในรายการที่เผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ “ทรูไอดี (TrueID)”

ข้อพิพาททางกฎหมายดังกล่าว ทำให้สังคมจับตาถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากคำพิพากษา เนื่องจากเป็นคดีระหว่างองค์กรกำกับดูแลด้านกิจการโทรทัศน์และผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมรายใหญ่ของประเทศ

ไทม์ไลน์-ที่มาของคดี

จุดเริ่มต้นของคดีมาจากการมีผู้บริโภคร้องเรียนมาที่สำนักงาน กสทช. ในปี 2566 หลังจากพบว่า แพลตฟอร์มของแอปพลิเคชัน “ทรูไอดี” มีโฆษณาแทรกในช่องรายการทีวีดิจิทัลของผู้ได้รับอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์จาก กสทช. หรือ ฟรีทีวี ซึ่งเป็นการนำรายการจากฟรีทีวีมาถ่ายทอดผ่านแอปฯ ดังกล่าว ซึ่งผู้ให้บริการคือ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด

หลังจากนั้น คณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ได้พิจารณาและเสนอความเห็นในเรื่องดังกล่าว และสำนักงาน กสทช. ได้ออกหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์จำนวน 127 ราย ให้ตรวจสอบว่ามีการนำช่องรายการที่ได้รับอนุญาตไปออกอากาศผ่านโครงข่ายใดหรือนำไปแพร่ภาพในแพลตฟอร์มใด และให้ปฏิบัติตามประกาศ กสทช. ที่เรียกว่า กฎ “มัสต์แครี่” (Must Carry)

อย่างไรก็ตาม บริษัท ทรู ดิจิทัลฯ กลับเข้าใจด้วยตัวเองว่า บริษัทฯ อาจเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย และอาจถูกระงับเนื้อหารายการที่ได้ส่งไปออกอากาศได้ และมองว่าการกระทำของ กรรมการ กสทช. คนดังกล่าว มีพฤติการณ์หรือเหตุที่มีสภาพร้ายแรงที่แสดงถึงความมีอคติและความไม่เป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ จึงนำมาสู่การฟ้องร้องทางกฎหมายในเวลาต่อมา ตามไทม์ไลน์ดังนี้

  • วันที่ 14 มี.ค. 2567 บริษัทฯ ตัดสินใจยื่นฟ้อง ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ในข้อหาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ต่อมาบริษัทฯ ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลฯ ให้ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ยุติการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช. และประธานอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาในคดีนี้

ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง อธิบายผ่านสื่อมวลชนในวันที่ 14 มี.ค. 2567 ว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้ร่วมกันพิจารณาและให้ความเห็นอย่างรอบด้านโดยอิสระก่อนจะมีมติให้สำนักงาน กสทช. มีหนังสือแจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตช่องโทรทัศน์ดิจิทัลปฏิบัติตามประกาศ กสทช. ที่เกี่ยวข้องและเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด เนื่องจากทรูไอดียังมิได้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายประเภท IPTV จาก กสทช. ซึ่งจะทำให้ได้รับสิทธิตามประกาศ Must Carry ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการโครงข่ายต้องนำพาสัญญาณของช่องรายการทีวีดิจิทัลไปโดยไม่มีการแทรกเนื้อหาใด ๆ

นอกจากนี้ ยังมีมติให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า มีการให้บริการในลักษณะเดียวกับทรูไอดีอีกหรือไม่ ซึ่งภายหลังได้มีการออกหนังสือในรูปแบบเดียวกันไปยังผู้ประกอบการอีกรายที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกัน ทางสำนักงาน กสทช. จึงไม่ได้เลือกปฏิบัติกับบริษัท ทรู ดิจิทัลฯ

“การทำหน้าที่ของดิฉัน และคณะอนุกรรมการฯ ข้างต้น มุ่งหมายหาแนวทางแก้ไขปัญหาของผู้บริโภคตามที่มีข้อร้องเรียน และประสงค์ให้มีการกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาตตามกฎหมาย รวมถึงต้องการให้ผู้รับใบอนุญาตช่องรายการตรวจสอบและตระหนักถึงการป้องกันตนเองมิให้ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ในเนื้อหารายการ” ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง กล่าวในแถลงการณ์

เธอยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การพิจารณาให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว เป็นเพียงการให้ข้อเสนอแนะต่อสำนักงาน กสทช. คณะอนุกรรมการฯ ไม่มีอำนาจสั่งการแต่อย่างใด การที่สำนักงาน กสทช. มีหนังสือแจ้งเวียนผู้รับใบอนุญาตช่องรายการให้ปฏิบัติตามประกาศ กสทช. และเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาต จึงเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน กสทช.

  • วันที่ 2 เม.ย. 2567 ศาลฯ ได้นัดคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาพร้อมกันเพื่อกำหนดกระบวนการพิธีการพิจารณคดีว่าจะดำเนินการไต่สวนอย่างไร
  • วันที่ 14 พ.ค. 2567 ศาลฯ ได้มีคำตัดสินยกคำร้องให้ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ไม่ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช. โดยพิจารณาว่า ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นปฏิปักษ์ ขัดขวาง หรือกลั่นแกล้งการประกอบธุรกิจของบริษัท ทรู ดิจิทัลฯ ตามที่กล่าวอ้าง ขณะที่บริษัทฯ ชี้แจงเหตุผลว่า “เป็นไปตามกระบวนการตามขั้นตอนปกติในการรักษาสิทธิ์เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง”

ทั้งนี้ บริษัท ทรู ดิจิทัลฯ กล่าวในคำชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า เนื่องจากขณะนี้คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ทางบริษัทฯ จึงขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ เพิ่มเติม โดยจะมอบเป็นอำนาจให้ศาลเป็นผู้พิจารณาพิพากษาต่อไป

  • วันที่ 4 ก.พ. 2568 สภาองค์กรของผู้บริโภคเผยแพร่กำหนดการนัดฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าว ในวันที่ 6 ก.พ. 2568

ทั้งนี้ นางสาวพิรงรองเคยเป็นหนึ่งในเสียงข้างน้อยในการพิจารณาการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือดีแทค (Dtac) ในขณะนั้น ในการประชุม กสทช.นัดพิเศษ ซึ่งผลการควบรวมกิจการดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแง่การลด หรือจำกัดการแข่งขัน และการคุ้มครองผู้บริโภค

กฎมัสต์แครี่ (Must Carry) มูลเหตุหลักในกรณีนี้คืออะไร

นับตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านการออกอากาศวิทยุโทรทัศน์ในระบบทีวีแอนะล็อก มาสู่ระบบทีวีดิจิทัลผ่านการประมูลคลื่นความถี่ในปี 2556 ภายใต้การกำกับดูแลโดย กสทช. ได้มีการกำหนดกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อรับประกันว่าทุกครัวเรือนจะสามารถเข้าถึงรายการจากสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลได้อย่างทั่วถึง

หนึ่งในกลไกดังกล่าว คือ กฎมัสต์แครี่ (Must Carry) ซึ่งชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป ซึ่งประกาศใช้ในปี 2555

สาระสำคัญหลักคือ ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ทั้งในระบบทีวีดิจิทัลและแบบบอกรับสมาชิกที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. (เช่น ทีวีผ่านระบบเคเบิลและระบบดาวเทียม รวมทั้งระบบโครงข่ายไอพีทางสายและไร้สาย) มีหน้าที่ต้องให้สมาชิกได้รับบริการโทรทัศน์เป็นการทั่วไปโดยตรงอย่างต่อเนื่อง และไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำซ้ำ ดัดแปลง ผังรายการและเนื้อหารายการ

สำหรับในกรณีดังกล่าว สำนักงาน กสทช. อธิบายว่า การที่ไม่ได้ส่งหนังสือดังกล่าวถึง บริษัท ทรูดิจิทัลฯ ผู้ให้บริการแอปฯ ทรูไอดี เนื่องจากไม่ได้มาขอรับในอนุญาต โดยบริษัทฯ อ้างว่าเป็นผู้ให้บริการ OTT (over-the-top) หรือวิธีการสตรีมเนื้อหาผ่านอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์ใดก็ได้

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบของบีบีซีไทยพบว่า ในปัจจุบัน กสทช. มีแผนที่จะจัดทำ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง การให้บริการแพร่เสียงแพร่ภาพเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่จะครอบคลุมถึงการกำกับดูแล OTT โดยจะเน้นการกำกับดูแลเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่โครงการดังกล่าวต้องหยุดชะงักลงตั้งแต่เดือน ต.ค. 2566 เพราะรอการบรรจุวาระเข้าที่ประชุม กสทช.

ต่อมาในวันที่ 2 ม.ค. 2568 นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ ประธาน กสทช. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า OTT เช่นยูทิวบ์และเฟซบุ๊ก ไม่อยู่ภายใต้การกำกับของ กสทช. เนื่องจากนิยามตามกฎหมายปัจจุบันกำหนดให้ กสทช. ดูแลกิจการที่เป็นการแพร่ภาพและกระจายเสียงแบบดั้งเดิม แต่ OTT เป็นการนำเสนอคอนเทนต์แบบการเลือกดูเฉพาะเจาะจงตามอัลกอริทึม

นพ.สรณ บอกอีกว่า การกำกับดูแล OTT ควรผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลต้องพิจารณาออกกฎหมายใหม่หรือปรับปรุงกฎหมายเดิมผ่านกระบวนการในรัฐสภา พร้อมทั้งต้องประเมินความเป็นไปได้ของการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์มที่มีฐานในต่างประเทศ

ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้

จากข้อมูลที่เผยแพร่โดยสภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุถึงฉากทัศน์ที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ว่า หาก ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ถูกตัดสินว่ามีความผิดและไม่ได้รับสิทธิให้ประกันตัวระหว่างรอการอนุมัติการอุทธรณ์ จะต้องสิ้นสภาพการเป็น กสทช. ทันที

ทั้งนี้ ผู้ที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มีระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนคุณสมบัติของ กสทช. ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 7 (6) และ (7) กำหนดลักษณะต้องห้ามของกรรมการ กสทช. ว่า เป็นบุคคลที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล หรือเคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

ข้อมูล / ภาพ : ฺBBC News

ค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานหลายจังหวัด กทม. สีส้ม 30 พื้นที่ มากสุดที่บางนา

ศาลให้ประกัน “พิรงรอง” เจ้าตัวไม่ตอบสัมภาษณ์สื่อ