แม้ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งให้ “อุเทนถวาย” ย้ายออกจากพื้นที่จุฬาฯ ตั้งแต่ปี 2565 แต่จนถึงวันนี้ การย้ายยังไม่เกิดขึ้นจริง สะท้อนภาพ “รัฐไม่กล้าแตะ” ปมอ่อนไหวทางการเมือง ท่ามกลางเหตุทะเลาะวิวาทที่เกิดซ้ำซาก
คำสั่งศาลถูกเมิน “อุเทนถวาย” ยังไม่ย้าย
ในปี 2565 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (อุเทนถวาย) ย้ายออกจากพื้นที่ของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใน 60 วัน หลังเกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างนักศึกษาที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยและภาพลักษณ์ของพื้นที่ในเขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 3 ปีเต็ม การดำเนินการตามคำสั่งศาลกลับ “ไม่มีความคืบหน้า” ไม่มีการย้าย ไม่มีแผนรองรับ และไม่มีหน่วยงานใดออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างชัดเจน
การเมืองลังเล? เกรงกระทบฐานเสียง
หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตถึงความล่าช้าในการบังคับใช้คำพิพากษาว่าอาจเกิดจาก “เหตุผลทางการเมือง” แหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาลเผยว่า รัฐบาลเกรงว่าอาจกระทบต่อฐานเสียง โดยเฉพาะ ศิษย์เก่าอุเทนถวาย ซึ่งมีบทบาทในหลายแวดวง รวมถึงอิทธิพลของกลุ่มอำนาจบางกลุ่มที่อยู่เบื้องหลัง
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ การจัดหาสถานที่ใหม่ให้กับอุเทนถวาย ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจกลายเป็นประเด็นร้อนในสภา และขัดกับนโยบายการคลังแบบ “รัดเข็มขัด” ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันพยายามผลักดันอย่างเข้มงวด
เหตุรุนแรงซ้ำซาก สังคมรับเคราะห์
ในขณะที่ฝ่ายนโยบายยังนิ่งเฉย เหตุการณ์ความรุนแรงของนักศึกษายังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 เกิดเหตุนักศึกษาอุเทนถวายทะเลาะวิวาทกับสถาบันคู่ปรับกลางศูนย์การค้า MBK Center ท่ามกลางสายตาประชาชนและนักท่องเที่ยว
รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ นักวิชาการชื่อดังถึงกับโพสต์ผ่านสื่อโซเชียล เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลงนาม “คำสั่งย้าย” โดยระบุว่า “ไม่ควรปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังเพราะความเกรงใจ หรือเกมการเมืองเบื้องหลัง”
คำพิพากษา = พิธีกรรม? เมื่อผู้มีอำนาจไม่ขยับ
แม้คำพิพากษาของ ศาลปกครองสูงสุด จะถือเป็นที่สุดในเชิงกฎหมาย แต่เมื่อไม่มี “คำสั่งบังคับคดี” และรัฐบาลไม่เดินหน้า ยิ่งสะท้อนภาพ กลไกตุลาการที่ไร้อำนาจในทางปฏิบัติ
สถานการณ์นี้กลายเป็นคำถามสำคัญต่อ “ช่องโหว่ของระบบรัฐไทย” และการเมืองที่ยังคงมีอิทธิพลเหนือกฎหมาย ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม
“ในเมื่อศาลพูดแล้ว แต่ผู้มีอำนาจไม่ฟัง แล้วประชาชนจะพึ่งใคร?”
– คำถามที่ยังไร้คำตอบจากผู้มีอำนาจ
ข้อมูล/ภาพ : Thai PBS
