ไม่บ่อยนักที่วงการอนุรักษ์ธรรมชาติจะสั่นสะเทือนด้วยพลังของคนรุ่นใหม่อย่าง “ทราย สก็อต”
แต่คราวนี้… การเดินเกมที่กล้าหาญ กลับทำให้เธอถลำเข้าสู่ศึกใหญ่ที่ไม่ได้มีแค่ท้องทะเลเป็นเวที หากแต่หมายรวมถึงกฎหมาย และความเชื่อมั่นของสังคม
เรื่องมันเริ่มจากคลิปวิดีโอที่ ทราย โพสต์ตรงไปตรงมา ชี้เป้า “นักท่องเที่ยวมือบอน” ทำผิดกฎอนุรักษ์ในทะเลไทย
เสียงไชโยของชาวเน็ตสายอนุรักษ์ยังไม่ทันจาง ผู้ประกอบการท่องเที่ยวบางรายก็ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท พร้อมพ่วงข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เข้าไปอีกดอก
เสียงแตกในสังคมเริ่มดังขึ้น
ฝ่ายหนึ่งยืนข้างทราย เพราะเธอกล้าพูด กล้าชน ช่วยปลุกกระแสอนุรักษ์ที่แผ่วปลาย
อีกฝ่ายมองว่า การกระทำของเธอ “เกินหน้าที่” ที่ควรมีในตำแหน่ง “ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ” ที่ไม่ได้มีอำนาจจับกุมหรือบังคับใช้กฎหมาย
เสียงเตือนเบา ๆ แต่หนักแน่น มาจากคนที่เข้าใจเกมนี้ดีอย่าง ดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ
เขาบอกชัด
“แม้มีเจตนาดี แต่ที่ปรึกษาไม่มีอำนาจ ใช้กฎหมายแทนเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายเท่านั้น”
การเล่นนอกบท แม้ด้วยเจตนาดี ก็อาจย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง และบั่นทอนเป้าหมายใหญ่อย่างการปกป้องธรรมชาติได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในมุมของชาวเล ชาวบ้านไกด์ท้องถิ่นหลายคน ก็ยังเอาใจช่วย “น้องทราย”
บอกว่าการเคลื่อนไหวของเธอช่วยกระตุ้นสังคมให้หันมามองทะเลไทยด้วยสายตาที่ห่วงใยขึ้นกว่าที่เคย
แต่ไม่ว่าฉากสุดท้ายของเรื่องนี้จะจบอย่างไร
“ศึกทราย สก็อต” ได้โยนคำถามสำคัญทิ้งไว้กลางสังคมแล้วว่า
ระหว่าง “ตั้งใจดี” กับ “ทำตามกฎหมาย” อะไรสำคัญกว่ากัน?
และที่สำคัญกว่านั้น… ใครกันแน่ที่สมควรยืนหยัดปกป้องผืนป่า ทะเล และผืนดินนี้อย่างแท้จริง
