โลกทุกวันนี้… ไม่มีเสียงฝีเท้าของโจร ไม่มีปืนในมือ ไม่มีเลือดบนถนน
มีเพียงปลายนิ้วบางเบา กดส่งภัยร้ายผ่านเครือข่ายที่ไม่มีรอยเท้า
13 เมษายนที่ผ่านมา วันที่รัฐไทยโยนแหใหญ่ คลุมโลกดิจิทัลด้วยกฎหมายสองฉบับ
พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ และ พ.ร.ก.คุมสินทรัพย์ดิจิทัล ชื่อที่สวยงามดั่งคำอวยพร แต่เนื้อแท้แฝงรอยมีดคม
ธนาคาร, โทรคมนาคม, กระเป๋าเงินดิจิทัล ผู้ให้บริการทั้งหลาย ถูกกำหนดให้ต้อง รู้ เห็น และรับผิด หากมิจฉาชีพหลุดลอดสายตาไป
ไม่ใช่แค่โจรที่ถูกไล่ล่า หากแต่เจ้าของประตูที่ลืมล็อก ก็ต้องจ่ายค่าปรับราคาแพง
ในอีกฟากหนึ่ง พ.ร.ก.เปิดช่องให้รัฐ คืนเงินผู้เสียหายได้ทันที โดยไม่ต้องรอศาลตัดสิน
“ความยุติธรรมรวดเร็ว” อาจเป็นความหวังของเหยื่อ
แต่… เมื่ออำนาจเหนือเงินตราไม่ต้องผ่านศาล อะไรคือหลักประกันว่าเหยื่อคือเหยื่อ และผู้กระทำผิดคือผู้กระทำผิดจริง?
กระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่องเครื่องมือใหม่ สามารถ ดับเครื่องชน ปิดเว็บไซต์และแอปข้ามชาติที่ไม่ได้รับอนุญาตเหมือนกริบดาบ
ขณะเดียวกัน เส้นสายของข้อมูลประชาชนถูกร้อยโยงระหว่างธนาคาร, โทรคมนาคม, หน่วยงานรัฐ อย่างเงียบงัน ราวกับเถาวัลย์รัดร่าง
อาชญากรไซเบอร์ควรถูกปราบ นั่นไม่ใช่สิ่งต้องสงสัย
แต่เมื่อการปกป้องพ้นจากคำว่ากฎหมาย เข้าสู่อาณาเขตของ การควบคุมจิตวิญญาณ เราควรหยุดยืน… และมองให้ไกลกว่าเงา
ใครที่เปิดบัญชีม้า, หรือแค่ “ยืมชื่อ” โดยไม่รู้เรื่อง ก็เสี่ยงโทษคุก 3 ปี ปรับสามแสน ขณะที่โลกหมุนเร็วเกินกว่าที่เราจะทันสังเกตว่า…เราเผลอกลายเป็นผู้ต้องหาเองตั้งแต่เมื่อไร
เพราะในโลกไซเบอร์… เหยื่อและผู้กระทำผิด แทบไม่เคยแยกแยะด้วยตาเปล่า
กฎหมายครั้งนี้ คือหมากกล้าในกระดานที่ไร้เสียง
แต่เสียงสะท้อนจากอนาคต จะดังลั่นหรือเงียบงัน ขึ้นอยู่กับมือที่ถือด้ามกฎหมาย
โซ่ตรวนดิจิทัลที่คล้องเราทุกคนไว้นี้ จะเป็นเกราะป้องกัน หรือกรงขัง
ขึ้นอยู่กับว่า ใครกำราบมัน… หรือใครจะถูกมันกำราบ.
