“กลิ่นอายแห่งความเสื่อม ย่อมโชยมาพร้อมกับธูปเทียนที่บูชาผิดคน”
ในห้วงเวลาที่ความศรัทธาต่อกลไกองค์กรอิสระถูกวางกรงเล็บลงบนตาชั่งแห่งความยุติธรรมอีกครั้ง ข่าวการจ่ายสินบน 300,000 บาทให้แก่อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จึงไม่ใช่แค่เพียงข่าวลือริมทาง หากแต่เป็นภาพสะท้อนของ “โรคร้ายที่ซุกตัวในเนื้อเยื่อรัฐ” อย่างมิอาจปฏิเสธได้
การปรากฏชื่อ “บิ๊ก กกต.” วนเวียนอยู่ในกระแสข่าวนี้ เปรียบเสมือนการโยนหินลงบ่อน้ำเน่า ยิ่งกระเพื่อม ยิ่งส่งกลิ่น เหมือนจะเตือนว่า แม้แผ่นดินจะแล้งฝน แต่เรื่องฉาวในแวดวงข้าราชการกลับชุ่มชื้นไม่เคยเหือดแห้ง
“คนดีต้องไม่กลัวการถูกตรวจสอบ คนเลวต่างหากที่หวาดผวาแม้แต่เงาตัวเอง”
วันนี้อดีตผู้ว่าฯ สตง. เลือกเส้นทางที่ยากกว่า ด้วยการนำเรื่องสู่กระบวนการยุติธรรม ปฏิเสธเงินสินบน ไม่ยอมประนีประนอมกับความผิด แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากเครือข่ายอำนาจมืดที่มองความถูกต้องเป็นเพียงเศษกระดาษที่ฉีกทิ้งได้ง่ายๆ
ขณะที่อีกฟากหนึ่ง กลับมีผู้บริหารระดับสูงบางคนในองค์กรอิสระแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ปล่อยให้ชื่อเสียงหน่วยงานถูกลากไปเปรอะเปื้อนอยู่ในโคลนตมของความน่าสมเพช
เรื่องนี้มิใช่เพียงการติดสินบนข้ามหน่วยงาน หากแต่เป็นการบั่นทอนเส้นเลือดใหญ่แห่งการตรวจสอบและการคานอำนาจ การที่ ป.ป.ช. ต้องเข้ามาคลี่คลายปมนี้ จึงเป็นบททดสอบอีกครั้งว่า ประเทศนี้ยังเหลือพื้นที่ให้กับ “ธรรมาภิบาล” หรือเพียงแต่คำขวัญที่แปะไว้บนฝาผนัง
“เมื่อเงินตราเป็นเครื่องวัดเกียรติ คนไร้เกียรติย่อมหาเงินด้วยวิธีไร้ยางอาย”
หากปล่อยให้คดีนี้จบลงด้วยการ “ลูบหน้าปะจมูก” ประชาชนผู้เหนื่อยล้าในการเฝ้ามองความอยุติธรรมย่อมหมดศรัทธาต่อระบบทั้งมวล และเมื่อถึงวันนั้น แม้กระทั่งศาลาริมทางก็อาจไร้ผู้สักการะ
เพราะแผ่นดินที่ไม่เคารพเสียงแตรศีลธรรม ย่อมถูกเสียงกลองสงครามเรียกหาทุกเช้าค่ำ.

ข้อมูล/ภาพ : PPTV