“การลดค่าไฟไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ…แต่คือสิ่งที่ประชาชนควรได้ตั้งแต่แรก”
กกพ.เพิ่งประกาศลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย สำหรับงวดพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ทำให้เสียงเฮดังขึ้นทั้งในบ้านเรือนและบนหน้าฟีดโซเชียล
แต่คำถามคือ…นี่คือชัยชนะของระบบ หรือแค่กลไกรับหน้าแทนรัฐบาล?
เบื้องหลังความน่ายินดีนี้คือการนำเงิน “Claw back” เงินผลประโยชน์ส่วนเกินจากผู้ผลิตไฟฟ้า มาช่วยอุดหนุนถึง 12,200 ล้านบาท เพื่อกดค่าไฟลงเพียง 17 สตางค์ ซึ่งถ้าฟังดูเผิน ๆ ก็เหมือนเป็นความคืบหน้า
แต่ในความเป็นจริง นี่คือการเอา “เงินในอนาคต” มาเยียวยาความผิดพลาดในอดีต
ค่า Ft งวดนี้ลดเหลือ 0.3672 บาทต่อหน่วย ดูดีใช่ไหม? แต่ไม่มีใครกล้าพูดว่านี่เป็นผลจาก “ระบบที่ยั่งยืน” ตรงกันข้าม มันสะท้อนระบบที่ยังต้องพึ่งพาเงินเฉพาะกิจ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เหมือนคนไข้ที่ต้องกินยาแก้ปวดเพราะหมอไม่ยอมบอกว่า “ต้องผ่าตัดใหญ่”
“ประชาชนไม่ต้องการค่าไฟถูกแค่ 4 เดือน แต่ต้องการระบบที่ไม่ทำให้ต้องลุ้นทุก 4 เดือน”
นี่คือหัวใจของปัญหา
เพราะตราบใดที่ต้นทุนผลิตไฟฟ้ายังอิงอยู่กับโครงสร้างที่ไม่มีใครแตะต้อง เช่น สัญญา IPP ที่รัฐผูกพันกับเอกชนแบบไม่มีการประเมินใหม่ หรือเงิน Adder ที่ยังจ่ายให้บางโรงไฟฟ้าแม้หมดอายุความจำเป็น…เราก็ยังคงต้องใช้ไฟในราคาที่รัฐบอกว่า “ถูกแล้ว” ทั้งที่มันไม่เคยยุติธรรม
การลดค่าไฟรอบนี้จึงไม่ใช่ “การลดภาระของประชาชน” อย่างแท้จริง หากแต่เป็น “การซื้อเวลาให้รัฐ” ในการไม่ต้องตอบคำถามว่า โครงสร้างพลังงานของประเทศไทยนั้นมีไว้เพื่อใคร
“แสงสว่างไม่ควรมาจากค่าไฟลด…แต่มาจากระบบที่ไม่มืดบอดต่อประชาชน”

ข้อมูล/ภาพ : Thai PBS