ไฟไหม้โรงงานลาดกระบัง สะท้อนความเปราะบางของเมืองใหญ่ที่ยังไม่พร้อมรับวิกฤต

ในเมืองใหญ่ที่ไฟฟ้าสว่างไสวทุกตารางเมตร แต่ไฟไหม้กลับดับได้ช้า ควันดำจากโกดังเฟอร์นิเจอร์ในซอยฉลองกรุง 55 ไม่ได้พ่นออกมาแค่สารพิษ แต่มันพ่นคำถามสำคัญใส่เมืองหลวงของเราทุกคน

เพลิงลุกตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ วันที่ 11 พฤษภาคม กว่าร้อยนายกับรถดับเพลิงเกือบร้อยคันระดมกำลังเข้าถึง แต่นี่คือโรงงานเฟอร์นิเจอร์ที่เต็มไปด้วยเม็ดพลาสติก แผ่นไม้ และกระดาษ เชื้อเพลิงชั้นดีที่เผาผลาญทุกอย่างเหมือนกำจัดซากศพในความมืด

กลางดึกของวันนั้น ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ต้องมายืนสูดควันด้วยตัวเอง หน้าไหม้จากความร้อน ส่วนเสียงในโลกออนไลน์ถามกันว่า…ทำไมเพลิงถึงยังไม่สงบ?

เราไม่ได้แค่เจอกับอัคคีภัยธรรมดา แต่กำลังเผชิญไฟที่สะท้อน “ความร้อน” ของเมืองที่ไม่พร้อมรับมือกับหายนะซ้ำซ้อน
ไม่มีสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า ไม่มีระบบป้องกันในโรงงาน ไม่มีฐานข้อมูลกลางเรื่องวัสดุไวไฟที่เป็นภัยระดับเมือง

เมื่อต้องอพยพชาวบ้าน กรุงเทพฯ ถึงกับต้องงัดโรงเรียน วัด และหอประชุมมาเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว นี่ไม่ใช่แผนฉุกเฉิน แต่เป็น “แผนเอาตัวรอด”

ในยุคที่เราพูดถึงเมืองอัจฉริยะ เทคโนโลยี และความยั่งยืน
เราอาจลืมไปว่า ความปลอดภัยพื้นฐานอย่าง “การดับไฟ” ยังคงเป็นจุดอ่อน

เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ไฟไหม้” แต่มันคือ “คำเตือน”
เตือนว่า…กรุงเทพฯ อาจกำลังสร้างเมืองให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ
โดยที่ฐานรองรับของมันกลับบางลงเรื่อย ๆ เช่นกัน

หมายเหตุ: ควันไฟที่ปกคลุมไม่ควรแค่เตือนให้เราปิดหน้าต่างบ้าน แต่ควรเปิด “หน้าต่างนโยบาย” ที่เราปิดไว้มาเนิ่นนาน

เพลิงไหม้, ลาดกระบัง, โรงงานเฟอร์นิเจอร์, กรุงเทพ, อัคคีภัย

คนในท้องถิ่น เขาเลือกกันเอง

ข้าวหอมเขากระโดง หุงขึ้นหม้อ