กลางป่าภูเขาในอำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ บ้านไม้ยกพื้นไม่เสร็จหลังหนึ่ง กลายเป็นข่าวครึกโครมเมื่อแม่วัย 34 ปี ถูกกล่าวหาว่าใช้ลูกทั้ง 9 คน ผลิตคลิปวิดีโอ 18+ เพื่อหารายได้
ภาพบ้านที่ไม่มีประตูหรือแม้แต่หน้าต่าง กลับกลายเป็นพื้นที่ถ่ายทำ “คอนเทนต์ลับ” ที่เปิดเปลือยทั้งร่างกายและความล้มเหลวของรัฐในการคุ้มครองสิทธิเด็กไทย
เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิและหน่วยงานรัฐลงพื้นที่ตรวจสอบและพาเด็กบางส่วนออกจากบ้านหลังดังกล่าวเข้าสู่การคุ้มครองชั่วคราว ขณะที่พ่อแม่ปฏิเสธข้อกล่าวหาและอ้างว่าเป็นคลิปตัดต่อ โดยคดียังอยู่ระหว่างการสืบสวน
เทียบกับต่างประเทศ: มาตรฐานการปกป้องเด็กที่แตกต่าง
ในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ หรือเยอรมนี เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันถูกจัดการด้วยมาตรการเร่งด่วน เช่น การแยกเด็กออกจากครอบครัว การดำเนินคดีต่อพ่อแม่ และการตรวจสอบระบบออนไลน์เพื่อป้องกันการเผยแพร่ซ้ำ
กรณีในแคลิฟอร์เนีย ปี 2019 ที่แม่ถ่ายคลิปลูกเพราะจน ศาลยังไม่ยอมให้เรื่อง “เศรษฐกิจ” มาเป็นข้ออ้างในการละเมิดสิทธิเด็ก
ที่เกาหลีใต้ การปราบปรามเครือข่าย “Nth Room” ซึ่งเด็กหญิงหลายคนถูกบังคับผลิตสื่ออนาจาร มีการเอาผิดทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนอย่างชัดเจน โดยยึดหลักว่า “ความปลอดภัยของเด็กมาก่อน”
มุมมองสังคมไทย: ลังเลและเพิกเฉย
ตรงกันข้ามกับต่างประเทศ สังคมไทยยังคงลังเลที่จะพูดถึงเรื่อง “ความยากจนที่ผลักเด็กเข้าหาความรุนแรงทางเพศ” ด้วยมุมมองว่าเป็นเรื่องในครอบครัว ไม่ใช่ปัญหาโครงสร้าง
หน่วยงานรัฐแม้มีอยู่มากมาย แต่การเข้าถึง การป้องกัน และระบบติดตามหลังการช่วยเหลือยังขาดความต่อเนื่อง เด็กหลายคนถูกพาไปอยู่ในบ้านพักเด็กเพียงชั่วคราว โดยไม่มีทางเลือกในระยะยาว
ความจนไม่ใช่ข้อยกเว้นของความผิด
นี่ไม่ใช่แค่คดีอาญา แต่คือคำถามต่อระบบทั้งหมด
เราอยู่ในประเทศที่คนจนต้องเปลือยลูกต่อกล้องเพื่อแลกข้าววันรุ่งขึ้นใช่หรือไม่?
ในขณะที่หลายประเทศใช้เทคโนโลยีและกฎหมายเพื่อ “ดักหน้า” ปัญหา ไทยยังคงแก้ไขแบบ “ตามหลัง”
บ้านที่ไม่มีประตู กับอนาคตที่ไร้ทางออก
บ้านหลังนี้ไม่มีประตู
แต่คำถามคือ เราจะปล่อยให้เด็กเติบโตโดยไม่มี “ทางออก” อีกกี่คน?
เราจะรอคลิปหลุดอีกกี่ครั้งก่อนจะปฏิรูประบบคุ้มครองเด็กอย่างจริงจัง?
และสังคมเราจะยอมรับได้แค่ไหน ถ้าคำตอบคือ “อีกหลายคน”
