ทรูยื่นคัดค้าน “หมอลี่” ปมไม่เป็นกลาง ดัน กสทช. เข้าสู่จุดเปราะบางทางความยุติธรรม

ในเกมที่เดิมพันด้วยผลประโยชน์ระดับหมื่นล้าน บางครั้งการยื่น “หนังสือคัดค้าน” ก็ทรงอิทธิพลยิ่งกว่าการยื่นฟ้องต่อศาล

ขณะที่สายตาส่วนใหญ่ยังจับจ้องไปที่กรณี อ.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ซึ่งถูกศาลตัดสินจำคุกจากคดีฟ้องร้องโดยทรูดิจิทัลกรุ๊ป จนกลายเป็นข้อถกเถียงว่าเธอยังสมควรนั่งร่วมประชุมในวาระที่เกี่ยวข้องกับบริษัททรูหรือไม่ แต่อีกด้าน ทรูกลับเดินเกมอีกกระดาน ด้วยการส่งหนังสืออย่างเป็นทางการถึงคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช. เพื่อคัดค้าน นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตกรรมการ กสทช. ที่ปัจจุบันนั่งในฐานะหนึ่งในที่ปรึกษากฎหมายของบอร์ด

ข้อกล่าวหาชัดเจน “ไม่เป็นกลางในประเด็นการควบรวมทรู-ดีแทค”

นพ.ประวิทย์นั้นมีประวัติการทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มข้นและยาวนาน เป็นหนึ่งในเสียงวิจารณ์เรื่องการควบรวมกิจการอย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากมุมมองด้านการแข่งขันเสรี และผลกระทบต่อประชาชนในฐานะผู้ใช้บริการ สาธารณชนจึงคุ้นเคยกับเขาในฐานะ “คนกลางที่ยืนข้างประชาชน” มากกว่าจะเป็นกลางแบบไม่แสดงท่าที

แต่คำถามคือ ท่าทีเช่นนั้นเพียงพอจะทำให้ “หมดสิทธิ์” เข้าร่วมเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางกฎหมายหรือไม่?

นั่นคือสิ่งที่คณะอนุกรรมการกฎหมายของ กสทช. ซึ่งมีอดีตตุลาการ อัยการสูงสุด และราชบัณฑิตระดับประเทศรวมกว่า 14 คน ต้องวินิจฉัยในการประชุมวันที่ 15 พฤษภาคมนี้

ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่ตั้งคำถามกลับไปยังบริษัททรู ก็มีไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อบุคคลที่ไม่ใช่ผู้มีอำนาจตัดสินใจโดยตรง แต่เพียงเสนอความเห็นตามหน้าที่ กลับถูกคัดค้านราวกับเป็น “ศัตรูทางยุทธศาสตร์” ของภาคธุรกิจ
และยิ่งน่าจับตา เมื่อการคัดค้านนี้ถูกยื่นในจังหวะเดียวกับการที่คณะอนุฯ เตรียมหารือกรณี อ.พิรงรอง รามสูต ว่า เธอสามารถเข้าร่วมพิจารณาในวาระเกี่ยวกับบริษัทในเครือทรูได้หรือไม่ หลังถูกศาลพิพากษาจำคุกในข้อหาประพฤติมิชอบ

ความซับซ้อนที่เกิดขึ้นในวาระนี้ จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของผู้ถูกกล่าวหาอีกต่อไป แต่เป็นการทดสอบความแข็งแรงของระบบนิติธรรม ว่า จะยืนหยัดบนหลักการ หรือยอมโอนอ่อนต่อแรงกดจากทุนขนาดใหญ่

แน่นอนว่า คณะอนุฯ ไม่มีอำนาจสั่งการหรือใช้อำนาจทางปกครองตามตัวบทกฎหมาย พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ดังนั้น การคัดค้านนพ.ประวิทย์จึงอาจไม่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายโดยตรง แต่การหยิบประเด็นนี้มาเขย่า “ความชอบธรรม” ของเสียงในคณะ ก็เพียงพอจะสร้างแรงกระเพื่อมต่อกระบวนการตัดสินใจในระดับบอร์ดได้อย่างมีนัย

ด้าน อ.พิรงรอง ก็ยังคงอยู่ในสถานะ “ก้ำกึ่ง” หลังถูกศาลตัดสินจากกรณีออกหนังสือถึงผู้ประกอบการทีวี 127 รายว่า ทรูไอดี ยังไม่มีใบอนุญาตจาก กสทช. ซึ่งทรูดิจิทัลมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งบริษัทของตน
แม้การฟ้องร้องจะผ่านกระบวนการยุติธรรมระดับหนึ่งแล้ว แต่ประธาน กสทช. ก็ยังทักท้วงทุกครั้งที่เธอร่วมประชุมพิจารณาวาระที่เกี่ยวข้องกับทรู

หากที่ประชุมในวันที่ 15 พ.ค. ตัดสินว่าอ.พิรงรองยังสามารถเข้าร่วมประชุมได้ ก็ต้องมีมติจากกรรมการที่เหลือโดยไม่รวมเจ้าตัว ผ่านการลงมติลับ และต้องได้เสียงถึง 2 ใน 3 ซึ่งในภาวะที่บอร์ด กสทช. แบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน การจะได้เสียงท่วมท้นอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด

กล่าวอย่างตรงไปตรงมา เกมนี้คือการดัน “คนไม่ใช่ฝ่ายเรา” ออกจากโต๊ะ ทั้งที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจใด ๆ โดยตรง

และหากการยื่นหนังสือคัดค้านกลายเป็นยุทธวิธีทางธุรกิจที่มีน้ำหนักเกินหลักกฎหมาย นั่นหมายความว่า บทบาทของคณะกรรมการให้คำปรึกษาทางกฎหมายต่อองค์กรอิสระระดับชาติ อาจกลายเป็นเพียงฉากหน้าของเกมผลประโยชน์ที่ใคร “ไม่ถูกใจ” ก็ถูกเขี่ยทิ้งอย่างง่ายดาย

กสทช., ทรู, นพ.ประวิทย์, อ.พิรงรอง, ควบรวมทรูดีแทค, องค์กรอิสระ

เปิดโลกกลุ่มลับ ‘ครอบครัวกำเงิน’ รายได้หลักแสนจากคลิปสยิว เรื่องจริงที่คุณต้องดูให้จบก่อนตัดสิน

เงินดิจิทัลเฟส 3 ยังไม่ตาย แต่ใครจะปลุกให้ฟื้น?