เขาบริจาค 3 ล้านบาท โดยไม่ขออะไรตอบแทน
เขาไม่ใช่นักธุรกิจ ไม่ใช่ผู้มีอันจะกิน แต่คือ “ลุงเอี่ยม” ผู้พิการทางร่างกายที่เคยใช้ชีวิตด้วยการขอทานหน้าวัดไร่ขิง
วันนี้ชื่อของลุงเอี่ยมปรากฏขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางข่าวอื้อฉาวที่อดีตเจ้าอาวาสวัดเดียวกัน ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมที่ห่างไกลจากคำว่า “บุญ” อย่างสิ้นเชิง
ศรัทธาของคนธรรมดาถูกยกให้วัดด้วยความเชื่อว่าที่นี่คือที่พึ่งสุดท้ายในชีวิต แต่สิ่งที่เขาได้คืนกลับมาคือ…ข่าวพาดหัวเรื่องการโอนเงินผิดบัญชี ผ้าเหลืองที่ควรจะเป็นเครื่องหมายแห่งความละวาง กลับกลายเป็นเครื่องมือในการสะสมทรัพย์สินอย่างน่าสงสัย
นี่คือเรื่องจริงที่ไม่ต่างอะไรกับหนัง “สาธุ”
หนังที่เล่าถึงชายสองคน พี่น้องต่างเส้นทาง คนหนึ่งกลายเป็นพระสงฆ์ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ใช้ศาสนาเป็นฉากหน้า อีกคนยึดมั่นในคุณธรรมแต่ไม่มีใครฟัง เพราะไม่มีผ้าเหลืองห่มตัว
คำถามคือ วันนี้เรากำลังอยู่ในโลกของหนังเรื่อง “สาธุ” หรือโลกแห่งความจริง?
หรือความจริงมันดิบยิ่งกว่าในหนัง?
เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่พฤติกรรมส่วนตัวของบุคคลในผ้าเหลือง แต่เป็น “ระบบ” ที่เคยเปิดช่องให้กลุ่มอำนาจบางกลุ่มใช้ชื่อของศาสนา สร้างทุน สร้างเครือข่าย และสร้างผลประโยชน์ที่ไม่มีในบทพระธรรม
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปี คดี “เงินทอนวัด” สะเทือนวงการสงฆ์ทั้งประเทศ
งบประมาณแผ่นดินที่ควรนำไปใช้บูรณะพัฒนาวัด ถูกเปลี่ยนเส้นทางกลับเข้ากระเป๋าของกลุ่มคนที่นั่งอยู่บนตำแหน่งควบคุมการเงิน
หน่วยงานรัฐบางแห่งเคยถูกตั้งคำถามว่า “รู้เห็นเป็นใจ” หรือแค่ “ปิดตาเพราะเกรงใจ”?
เมื่อศรัทธากลายเป็นทุน
เมื่อใบเสร็จบริจาคกลายเป็นใบเบิกจ่ายที่ไร้การตรวจสอบ
เมื่อวัดไม่ใช่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แต่กลายเป็นสนามแข่งขันทางเศรษฐกิจ
แล้วประชาชนอย่าง “ลุงเอี่ยม” จะยังมีที่ยืนตรงไหน?
พระพุทธศาสนาไม่เคยผิด
แต่เมื่อบุคคลในจีวรบางรูปเลือกเดินผิดทาง และระบบไม่มีฟันเฟืองใดจัดการได้อย่างโปร่งใส สังคมย่อมตั้งคำถาม ไม่ใช่ต่อพระธรรม แต่ต่อ “การจัดการ”
นี่ไม่ใช่เวลามาหลับตาสวดมนต์แล้วหวังให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง
นี่คือเวลาที่คนไทยต้องร่วมกันปกป้องคำว่า “พุทธศาสนา” จากการถูกบิดเบือนในนามของศรัทธา
