ในวันที่ทุนใหญ่เดินเกมรุกไม่หยุด ใครคือคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่ตรงกลางระหว่าง “ผลประโยชน์ธุรกิจ” กับ “ประโยชน์ประชาชน”? คำตอบอาจไม่ต้องคิดนาน… พิรงรอง รามสูต และ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา
นี่ไม่ใช่การเทิดทูนเกินเหตุ แต่คือการเตือนสติว่า กสทช. ไม่ใช่สนามเด็กเล่นของทุน แต่คือปราการสุดท้ายในการกำกับสื่อของชาติ และสองคนนี้คือ “คนจริง” ที่กล้ายืนฝั่งตรงข้ามกับการควบรวมทรู–ดีแทค ตั้งแต่วันแรกที่เกมทุนเริ่มปะทะ
ล่าสุด ทรูยื่นคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของอ.พิรงรอง ในวาระที่เกี่ยวข้องกับบริษัทในเครือ ข้ออ้างคือความไม่เป็นกลาง แต่คำถามกลับกันคือ: แล้วใครเล่า “เป็นกลาง” มากไปกว่าคนที่เคยลุกขึ้นค้านดีลพันล้าน เพื่อรักษาเสรีภาพของสื่อไทย?
ในขณะที่บางฝ่ายบอกว่าอ.พิรงรองควรเว้นวาระเพื่อความเหมาะสม คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายกลับวินิจฉัยชัดว่า ทรูที่ยื่นร้องไม่ใช่คู่กรณีโดยตรง การดำเนินการจึงยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย
แปลไทยเป็นไทยคือ “คนจริง” ยังมีสิทธิ์ปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบที่กฎหมายรับรอง
เช่นเดียวกับหมอลี่ ผู้เคยค้านการควบรวมมาโดยตลอด วันนี้ก็ถูกร้องคัดค้านจากอีกฝ่ายเช่นกัน แต่เพราะความไม่อ้อมค้อม ซื่อตรง และแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ทำให้เขาไม่ใช่แค่ “คนในระบบ” แต่เป็น “กระจก” สะท้อนสิ่งที่สังคมกำลังเผชิญ
สิ่งที่คนดูอาจลืมไป คือเราต้องการคนอย่างพิรงรองและหมอลี่ไม่ใช่เพราะเขาเพอร์เฟกต์
แต่เพราะเขา “ไม่เพิกเฉย” ต่ออำนาจทุน
เพราะเขาเคยแสดงจุดยืนในวันที่คนส่วนใหญ่เลือกนิ่ง
กสทช.ในวันที่ถูกจับตาอย่างหนักจากสังคม จำเป็นต้องมี “คนกล้า” ที่ยืนอยู่ได้แม้ใต้แรงกดดันทางการเมือง ทางทุน และทางอารมณ์ และคนอย่างพิรงรองกับหมอลี่ คือหลักฐานว่า ระบบรัฐไทยยังมีช่องให้ความกล้าหาญเบ่งบาน
บางคนอาจถามว่า… แล้วประชาชนได้อะไร?
คำตอบคือ… ได้เห็นว่าบนโต๊ะใหญ่ของอำนาจ ยังมีคนไม่ยอมให้สื่อกลายเป็นสินค้าผูกขาด
ยังมีคนที่ปฏิเสธคำว่า “ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ขอพูด” และเลือกจะพูดแทนประชาชน
