“ในสังคมที่อำนาจมือที่สามยังคงคุมเกมอยู่เสมอ ความยุติธรรมที่แท้จริงมักมาถึง…เฉพาะกับบางศพเท่านั้น”
เสียงกรีดร้องของครอบครัว “ดีเจเตเต้” อาจไม่ได้ดังเท่าข่าวของดาราหรือนักการเมือง แต่เสียงนั้นคือเสียงจากชีวิตจริงของชายหนุ่มวัย 33 ปี ผู้ที่จากไปพร้อมร่องรอยของกระสุน 2 นัด และเชือกไนล่อนมัดมือไพล่หลัง กลายเป็นศพกลางป่าลึกกาญจนบุรี
เหตุการณ์นี้อาจดูคล้าย “รักต้องห้าม” แต่แท้จริงแล้วอาจซ่อนเงาอำนาจที่ลึกล้ำกว่านั้น
ดีเจเตเต้ หรือวราพงษ์ ขุนศรีจตุรงค์ เคยมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวคนสนิทของนักค้ายารายใหญ่ในพื้นที่ แม้จะบอกว่าเลิกกันแล้ว แต่ความรักที่ขัดใจเจ้าพ่อ…มักจบลงด้วยความตายเสมอ
คดีนี้ชวนให้นึกถึงกรณีของ “คิม จองนัม” พี่ชายต่างมารดาของผู้นำเกาหลีเหนือ ที่ถูกวางยาพิษกลางสนามบินมาเลเซีย ไม่ใช่เพราะความผิดทางกฎหมาย แต่เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวที่อาจนำไปสู่การเปิดโปงโครงข่ายอำนาจ
ต่างประเทศจับคนร้ายได้จากกล้องวงจรปิดในสนามบิน ภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง
ไทย…มีคลิปจากวงจรปิด ดีเจโดนลากตัวขึ้นรถต่อหน้าต่อตา แต่กว่าจะเจอศพ ต้องรอชาวบ้านไปเก็บเห็ด
คำถามคือ – ระบบตำรวจของเราทำงานในระดับไหนกันแน่?
ในอีกมุมหนึ่ง “Elisa Lam” หญิงสาวชาวแคนาดา เสียชีวิตปริศนาในถังน้ำบนดาดฟ้าโรงแรมในสหรัฐฯ ทั่วโลกจับตา พิสูจน์หลักฐานถึงร่องรอยสุดท้าย แม้กระทั่งพฤติกรรมในลิฟต์ยังถูกนำมาวิเคราะห์
แต่ในไทย เรามีศพดีเจในป่า และเรายังไม่รู้แน่ชัดว่า…ใครเป็นคนสั่งฆ่า
การจับผู้ต้องหา 1 จาก 4 คนไม่ใช่ความสำเร็จของกระบวนการยุติธรรม แต่คือหลักฐานว่าอีก 3 คนยังลอยนวล
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “อุ้มฆ่า” กลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทย
เรามีคดี “บังฟัต ฆ่ายกครัว 8 ศพ” ที่จบด้วยคำตัดสินประหาร แต่เงาของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่…ยังไม่เคยถูกตัดทิ้ง
เรามีคดี “บอส อยู่วิทยา” ที่ขับรถชนตำรวจตาย แต่หลุดรอดกระบวนการยุติธรรมแบบอธิบายไม่ได้
วันนี้ เรามี “ดีเจเตเต้” ที่ความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนหนึ่ง นำไปสู่การถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด
คำถามที่สังคมควรถามไม่ใช่แค่ “ใครฆ่า?” แต่ต้องถามว่า “ทำไมฆ่าแล้วหลุดง่ายนัก?”
เมื่อผู้มีอำนาจในพื้นที่ยังมีคนคอยปกป้อง
เมื่อตำรวจยังรอให้ประชาชนเจอศพ
เมื่อข่าวการฆ่ากลายเป็นแค่หน้าหนึ่งของกระดาษรายวัน
…เราควรหยุดถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” และเริ่มถามว่า “สังคมแบบนี้ เรายอมรับได้จริงหรือ?”
