เมื่อกระแสข่าวว่าบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เสนอซื้อฐานลูกค้าราว 3 แสนราย และขอใช้โครงข่ายบรอดแบนด์ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT พร้อมขอใช้คลื่นความถี่บางย่านของรัฐ ได้กลายเป็นชนวนร้อนในวงการโทรคมนาคม AIS รีบออกแถลงชี้แจงอย่างชัดเจนว่า “ยังไม่มีข้อตกลงใด ๆ เกิดขึ้น และจะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะหากมีความคืบหน้า”
แต่การชี้แจงดังกล่าวยังไม่อาจสยบแรงต้านจากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ที่มองดีลนี้ว่าอาจเป็น “การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทางอ้อม” และ “เสี่ยงต่อการผูกขาดในตลาดโทรคมนาคม” ซึ่งสะท้อนความกังวลต่อการถ่ายโอนทรัพยากรของชาติไปอยู่ในมือเอกชน
ขณะที่ AIS ยืนยันว่ายังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม แรงสั่นสะเทือนจากฝั่งแรงงานรัฐวิสาหกิจกลับเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง พวกเขาออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ต่อต้านข้อเสนอของ AIS ด้วยเหตุผลหลักสามประการ:
- อาจนำไปสู่การผูกขาดตลาด – เมื่อเหลือผู้เล่นใหญ่เพียงไม่กี่รายในอุตสาหกรรม
- ใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อผลประโยชน์เอกชน – โดยเฉพาะเรื่องคลื่นความถี่และโครงข่ายบรอดแบนด์
- ขาดความโปร่งใสในการดำเนินการ – ไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะว่าการเจรจาอยู่ในขั้นตอนไหน และภาครัฐหรือกสทช. มีบทบาทอย่างไร
เสียงจากแรงงานรัฐวิสาหกิจไม่ใช่แค่การตั้งคำถามถึง AIS เท่านั้น แต่ยังถามตรงไปยัง รัฐและหน่วยงานกำกับดูแล ด้วยว่า “ทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้ถึงไม่มีคำอธิบายต่อสังคม?”
คำถามที่ยังไม่มีใครตอบ:
- ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นบนหลักการของความเท่าเทียมและประโยชน์สาธารณะหรือไม่?
- หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. รับทราบแล้วหรือยังว่ามีการเจรจาเกิดขึ้น?
- หากเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ หรือแค่เปลี่ยนเจ้าของแต่ยังผูกขาดเหมือนเดิม?
AIS อาจยังไม่ได้ “ซื้อ” อะไรในวันนี้
แต่เพียงแค่ข่าวว่า “จะซื้อ” ก็เพียงพอที่จะจุดชนวนคำถามในใจประชาชน
และคำถามที่สำคัญที่สุดคือ—เรากำลังเห็นการบริหารทรัพยากรของรัฐแบบไหน?
