เกมลูกหนังไทย กำลังจะเดินหน้าเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านอีกคำรบหนึ่ง
มันไม่ใช่แค่ผลโหวตในห้องประชุมธรรมดา ที่สนามลีโอ สเตเดี้ยม ของ “เดอะแรบบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่คือ สัญญาณ ที่สะท้อนหัวใจของ 11 สโมสรจาก 16 ทีมในศึกรีโว่ ไทยลีก อย่างแจ่มชัด
เสียงส่วนใหญ่โหวตเห็นชอบ “แยกไทยลีกออกมาบริหารเอง”
11 เสียงจาก 16 เสียง… ในโลกฟุตบอล นั่นเรียกว่า มติขาด แล้ว
แม้ในเชิงกฎหมายยังต้องรอไฟเขียวจาก สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
แต่ กระแส ก็พุ่งไปข้างหน้าแล้วอย่างไม่รอใคร
ในห้องนั้นยังมี 2 ทีมไม่เห็นด้วย (ระยอง เอฟซี กับ การท่าเรือ เอฟซี)
และอีก 2 ทีมเลือกงดออกเสียง (ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด)
แต่เชื่อเถอะครับ… เวลานี้ แรงผลักมันแรงกว่าแรงต้าน
ทำไมต้องแยก?
ไม่ต้องบรรยายมาก
แฟนบอลไทยหลายคนก็มองออกว่า วันนี้ ลีกสูงสุดของบ้านเรา ยังไม่ได้เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น
การบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ และ ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ภายใต้โครงสร้างเดิมนั้น “ติดข้อจำกัด”
รายได้สโมสร ไม่ได้โตไปพร้อมกับกระแสฟุตบอลในยุคใหม่
ถามจริง… รายได้ต่อปีจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด มันเพียงพอหรือ?
เมื่อเปรียบกับภาระค่าใช้จ่ายของแต่ละสโมสร
ลองมองลีกอื่นสิครับ…
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, บุนเดสลีกา เยอรมัน, ลาลีกา สเปน
เขา “ตั้งบริษัทลูก” มาบริหารสิทธิประโยชน์เองทั้งนั้น
บริหารแบบมืออาชีพ และต่อรองผลประโยชน์ตรงกับแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดแบบแฟร์ ๆ
ไทยลีก ก็เตรียมจะเดินทางเส้นนั้นแล้ว
แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?
ต้องรอดูว่า สมาคมฟุตบอลฯ จะรับลูกหรือ “เตะถ่วง”
ถ้าไฟเขียว ฤดูกาล 2025/26 ก็จะเป็นซีซั่นแรกที่ ไทยลีก จะมีโฉมใหม่
อาจจะมี บริษัทใหม่ มาถือสิทธิ์จัดการแข่งขันแบบมืออาชีพ
ทุกสโมสรจะได้มีสิทธิ์มีเสียง และมีส่วนแบ่งรายได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น
แต่ถ้า ถูกเบรก… ก็คงมีแรงกระเพื่อมตามมาอีกหลายระลอก
เพราะวันนี้ สโมสรต่าง ๆ ก็รู้แล้วว่า การรวมตัวกัน มีพลังมากกว่าแยกกันเดิน
บทสรุปวันนี้
เกมฟุตบอลไทย อาจจะเปลี่ยนหน้าในอีกไม่นานนี้
และนี่คือเรื่องที่แฟนบอลต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
เกมในสนามอาจยังเตะ 11 คน
แต่ เกมนอกสนาม มันคือเกมของ “สิทธิ” และ “อนาคต” ของฟุตบอลไทยทั้งระบบ
อย่าให้คนไม่กี่คน… ฉุดอนาคตลีกไทย ไว้กับที่เลยครับ!
