นี่คือคำถามที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน โพสต์ไว้ในโซเชียลมีเดีย กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมไทยตั้งคำถามต่อ “เงินสด 12 ล้านบาท” ที่ถูกพบในลังพลาสติก บริเวณจุดทิ้งขยะหน้าลิฟต์ ชั้น 4 ตึก P2 คอนโดเมืองทองธานี เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่ง นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว อ้างว่าเป็นเจ้าของ
คำถามจาก ส.ส.รักชนก สะท้อนความสงสัยของประชาชนทั้งประเทศ ว่าเงินจำนวนขนาดนี้ เป็นเงินอะไร? ทำไมถึงต้องซุกไว้ในลังพลาสติก? และที่สำคัญ…การ “ลืม” เงิน 12 ล้าน เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือได้แค่ไหน?
ข้อมูลเบื้องต้นจาก ส.ส.รักชนก ยังชี้ให้เห็นว่า นายทวีวัฒน์ ไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่เป็น “ที่ปรึกษาคู่ใจ” ของบอร์ด กสทช. และนั่งในคณะอนุกรรมการหลายชุดที่มีผลต่อผลประโยชน์มหาศาลของประเทศ
คณะที่มีบทบาทต่อดีลควบรวม TRUE-DTAC คณะที่ตรวจสอบค่าลิขสิทธิ์บอลโลก 600 ล้าน คณะที่ดูแลกองทุน USO 30,000 ล้าน คณะที่จัดสรรเงินกองทุนวิจัย กทปส. หลายหมื่นล้าน
จึงต้องตั้งคำถามตรงๆ ว่า เงิน 12 ล้านนี้ เป็นแค่เงินเก็บส่วนตัวจริงหรือ? หรือมี “ค่า” อะไรแอบแฝงอยู่?
อย่าลืมว่า “คนแต่งตั้ง” นายทวีวัฒน์ เข้ามาเป็นที่ปรึกษา คือ นายต่อพงษ์ บอร์ด กสทช. ซึ่งตัวนายต่อพงษ์เอง ก็มีอดีตเชื่อมโยงกับโครงการ CP รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และยังเป็นเสียงสำคัญในการโหวตดีลควบรวม TRUE-DTAC ร่วมกับประธาน กสทช. ที่ปัจจุบันก็มีข้อถกเถียงเรื่องคุณสมบัติ
การโหวตในวันที่ดีลควบรวมผ่าน ก็มีเสียงแตก 2-2 โดย นายทวีวัฒน์ เป็นเสียงเดียวในอนุกรรมการที่ชี้ว่า กสทช. มีแค่ “อำนาจรับทราบ” ไม่สามารถห้ามควบรวมได้ ซึ่งสุดท้ายก็เปิดทางให้ดีลขนาดมหึมานี้ผ่านฉลุย
ขณะเดียวกัน กสทช. ยังมีบทบาทสำคัญต่อ ค่าเน็ต ค่าโทร ใบอนุญาตคลื่น ที่ประชาชนต้องจ่ายทุกวัน รวมถึงการควบคุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการกำกับดูแลการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม แต่สิ่งที่เห็นชัดๆ คือ ดีลควบรวมผ่าน ค่าเน็ตแพงขึ้น คุณภาพแย่ลง ค่ายมือถือยังลอยนวล แม้สัญญาณล่ม คอลเซ็นเตอร์ยังระบาด เพราะแตะค่ายมือถือไม่ได้
คำถามสำคัญที่ ส.ส.รักชนก ตั้งไว้ จึงสะท้อนใจกลางปัญหานี้: เงินก้อนนี้จ่ายเป็นค่าตอบแทนใคร? เป็นเงินส่วนตัวจริงหรือไม่? และเกี่ยวข้องกับการอนุมัติหรือการเอื้อผลประโยชน์ในดีลสำคัญระดับชาติหรือเปล่า?
ยิ่งเมื่อพิจารณาว่า เงินสด 12 ล้านโผล่มาในจังหวะที่กำลังจะมี “ประมูลคลื่นใหม่” ในเดือนนี้ ก็ยิ่งเพิ่มข้อสงสัย
ล่าสุด ส.ส.ไอซ์ พนิดา มงคลสวัสดิ์ พร้อมด้วยทีมงาน เตรียมยื่นเรื่องต่อ 3 หน่วยงาน คือ สรรพากร, ป.ป.ช. และ กสทช. (แม้จะรู้ว่าการยื่น กสทช. อาจไร้ผล เพราะโครงสร้างอำนาจยังเป็นกลุ่มเดียวกัน)
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก หรือแค่ “เงินหล่น” ธรรมดา แต่สะท้อนโครงสร้างอำนาจเน่าเฟะ ที่เริ่มวางมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลประยุทธ์ หากไม่สะสางวันนี้ วันหน้าก็อาจมี “ลังเงินล้าน” โผล่อีกเป็นระยะๆ และประชาชนก็จะต้องเป็นฝ่ายที่ถูกเอาเปรียบต่อไป
คำถามคือ…เราจะยอมปล่อยให้ กสทช. เป็นบอร์ดของกลุ่มทุนแบบนี้อีกนานแค่ไหน?
ข้อมูล/ภาพ : Rukchanok Srinork ,มติชน
