สองกรณีที่อยู่ในความสนใจของสังคมในช่วงเวลานี้ คือประเด็นการตรวจสอบการครอบครองที่ดินของเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่ง กับการตรวจสอบการครอบครองที่ดินในพื้นที่เขากระโดงที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองชื่อดัง ทั้งสองกรณีต่างมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของลักษณะปัญหา แต่การดำเนินการของภาครัฐกลับให้ภาพที่แตกต่าง ซึ่งเป็นที่มาของคำถามจากประชาชนว่า เกณฑ์ในการตรวจสอบมีความเท่าเทียมกันหรือไม่
“จอห์นนี่ มือปราบ” กับที่ดินรีสอร์ท
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นที่รู้จักในสื่อสังคมออนไลน์ภายใต้ชื่อ “จอห์นนี่ มือปราบอินดี้” กลับมาได้รับความสนใจ หลังมีข่าวการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัย ภายหลังมีผู้นำเสนอข้อมูลว่าเขาครอบครองที่ดินเพื่อสร้างรีสอร์ทในจังหวัดนครราชสีมา
โดย จอห์นนี่ ระบุว่าที่ดินที่ใช้ดำเนินกิจการเป็นที่ดินเอกชน มีเอกสารสิทธิตามกฎหมาย และดำเนินการในช่วงที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม กระบวนการสอบสวนได้เริ่มต้นอย่างรวดเร็วและมีคำสั่งให้ตรวจสอบในหลายมิติ ทั้งด้านวินัย และลักษณะการครอบครองพื้นที่
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์ในสังคมออนไลน์และสื่อมวลชน โดยเฉพาะในมุมที่ตั้งคำถามว่าการดำเนินการดังกล่าวรวดเร็วเกินไปหรือไม่ และมีความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่
“เขากระโดง” ที่ดินเจ้าปัญหา
อีกกรณีหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องคือประเด็นที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเคยอยู่ในการดูแลของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีรายงานว่ามีบุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองครอบครองหรือใช้พื้นที่ดังกล่าว
ในช่วงปี 2566 ข้อมูลเรื่องที่ดินเขากระโดงถูกนำไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์และกระบวนการออกเอกสารสิทธิในพื้นที่ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การจัดสรรของหน่วยงานรัฐ โดยระบุว่าควรมีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและชัดเจน
จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการแถลงอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงผลของการตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างชัดเจน จึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่บางฝ่ายจะนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของ “จอห์นนี่ มือปราบ”

สองมาตรฐานหรือไม่?
แม้ทั้งสองกรณีจะยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในมิติของการรับรู้ของสาธารณชน คือความรู้สึกว่ากระบวนการยุติธรรมอาจมีลักษณะสองมาตรฐานในทางปฏิบัติ
ในกรณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การสอบสวนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีคำสั่งให้ตรวจสอบวินัยภายในเพียงไม่กี่วันหลังข่าวปรากฏ ขณะที่กรณีของนักการเมือง ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการ และไม่มีหน่วยงานใดออกมาเปิดเผยถึงกรอบเวลาหรือกระบวนการตรวจสอบ
แม้การดำเนินการของรัฐจะมีขั้นตอนและข้อจำกัดที่แตกต่างกันตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน แต่ในมุมของประชาชน การที่บางกรณีมีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจน ขณะที่อีกกรณีกลับเงียบเป็นเวลานาน ก็อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบการตรวจสอบและกระบวนการยุติธรรมโดยรวม
ประเด็นสำคัญที่สื่อมวลชนและนักวิชาการหลายฝ่ายสะท้อนคือ การตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลสาธารณะควรตั้งอยู่บนหลักการที่เสมอภาคและมีความเป็นกลาง เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของสังคมต่อกลไกของรัฐ
หากการดำเนินคดีหรือการตรวจสอบในเรื่องเดียวกัน กลับขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือสถานะของผู้ที่เกี่ยวข้อง ความยุติธรรมอาจกลายเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถาม และเปิดช่องให้สังคมตั้งข้อสงสัยต่อการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม
กรณีของที่ดินไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ใด ย่อมต้องมีความชัดเจนทั้งในเชิงกฎหมายและการตรวจสอบ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม