ตำรวจไซเบอร์ร่วมธนาคารอายัดเงินกว่า 215 ล้านบาท คืนให้บริษัทญี่ปุ่น หลังจับแก๊งหลอกเปลี่ยนบัญชีรับโอนผ่านอีเมลปลอม พบขบวนการเชื่อมโยงกลุ่มต่างชาติและใช้บริษัทในไทยบังหน้า
ขบวนการแฮกอีเมลปลอมตัวเป็นคู่ค้า หลอกโอนเงินมหาศาล
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.รุ่งเลิศคันธจันทร์ ผกก.1 บก.สอท.1 เปิดเผยผลการปฏิบัติการของ ตำรวจไซเบอร์ ร่วมกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง สามารถจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายแก๊งไซเบอร์ข้ามชาติ ซึ่งร่วมกันหลอกให้บริษัทชื่อดังในประเทศญี่ปุ่น โอนเงินเป็นมูลค่ากว่า 228 ล้านบาท โดยสามารถติดตามและอายัดเงินได้จำนวน 215 ล้านบาท ได้ทันก่อนถูกถอนออกจากระบบ
การสอบสวนพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Business Email Compromise” (BEC) คือการเจาะเข้าระบบอีเมลของบริษัทเป้าหมาย และปลอมแปลงอีเมลเพื่อแจ้งเปลี่ยนเลขบัญชีที่ใช้ในการชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการ ส่งผลให้บริษัทในญี่ปุ่นหลงเชื่อและโอนเงินเข้าบัญชีที่ถูกควบคุมโดยขบวนการดังกล่าว
พบขบวนการเชื่อมโยงต่างชาติ ใช้บริษัทบังหน้าในไทยฟอกเงิน
การตรวจสอบบัญชีที่ใช้รับโอนเงินพบว่าเป็นชื่อบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนในประเทศไทย โดยมี กรรมการและผู้ถือหุ้นเป็นชาวไทยและชาวแอฟริกัน ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศในลักษณะลักลอบทำงานผิดกฎหมาย ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 6 ราย ประกอบด้วยชาวไทย 5 ราย และชาวกานา 1 ราย
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ต้องหาทั้งหมดมีพฤติกรรมเปิดบริษัทจำกัดหลายแห่ง และมีการโอนเงินระหว่างบัญชีจำนวนมากผิดปกติ ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐาน ฟอกเงิน อั้งยี่ และซ่องโจร รวมทั้งมีการใช้เอกสารปลอมในการเปิดบัญชีธนาคาร
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า การสืบสวนกำลังขยายผลไปยังเครือข่ายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการเจาะระบบอีเมลและการสั่งการให้โอนเงินมายังประเทศไทย

ตำรวจไทยจับมือญี่ปุ่นและธนาคาร ประสานงานรวดเร็ว
ความสำเร็จในการอายัดเงินครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างของการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพระหว่าง ตำรวจไทย ธนาคารในประเทศ และหน่วยงานความมั่นคงทางไซเบอร์ของญี่ปุ่น โดยภายหลังบริษัทญี่ปุ่นแจ้งเหตุผิดปกติ ตำรวจไซเบอร์ได้ประสานธนาคารเป้าหมายในไทยอย่างเร่งด่วน และสามารถอายัดเงินไว้ได้กว่า 215 ล้านบาท จากจำนวนเงินทั้งหมดที่โอนเข้ามาเกือบ 228 ล้านบาท
ธนาคารสามารถอายัดได้ทันก่อนเงินจะถูกถอนออกเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยผู้ต้องหาพยายามถอนเงินออกจากบัญชีแล้ว 2 ครั้ง คิดเป็นมูลค่ากว่า 13 ล้านบาท ทำให้มีการดำเนินคดีเพิ่มในความผิดฐานพยายามหลบเลี่ยงการอายัดทรัพย์สินตามกฎหมายฟอกเงิน
เตือนภาคธุรกิจระวังการเปลี่ยนแปลงข้อมูลการเงินผ่านอีเมล
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกคำเตือนถึงภาคธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทที่มีการทำธุรกรรมกับคู่ค้าข้ามชาติ ให้เพิ่มความระมัดระวังต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางการเงินที่ส่งผ่านอีเมล โดยควรตรวจสอบผ่านช่องทางอื่น เช่น การโทรศัพท์ยืนยันตัวตน หรือระบบยืนยันสองชั้น (Two-Factor Authentication)
กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าขบวนการอาชญากรรมไซเบอร์มีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น และพร้อมจะฉวยโอกาสจากความไว้วางใจในการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงควรมีมาตรการด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต