สื่อ-โซเชียลกับทิศทางคดีอาญา : บทเรียนจากคดีน้องชมพู่

หลังจาก ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 แก้โทษ นายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” จากเดิมจำคุก 20 ปี เป็น 26 ปี ในคดีการเสียชีวิตของ น้องชมพู่ กระแสข่าวในสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียก็กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เหตุการณ์นี้ไม่เพียงเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญในกระบวนการยุติธรรม แต่ยังเป็นตัวอย่างชัดเจนให้เห็นว่า การรายงานข่าวและการแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์มีผลอย่างไรต่อทิศทางและภาพลักษณ์ของคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของสังคม

เร็วที่สุด ดีที่สุด?

บทบาทของสื่อมวลชนในคดีอาญาไม่ใช่เพียงการรายงานข้อเท็จจริง แต่ยังต้องรักษาสมดุลระหว่างสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข่าวสารกับการคุ้มครองสิทธิของผู้เกี่ยวข้องในคดี ความเร่งรีบในการนำเสนอข่าวเพื่อแข่งขันกับกระแสออนไลน์ ทำให้บางครั้งข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบถูกเผยแพร่ในวงกว้าง

ในหลายกรณี การรายงานเชิงลึกจากพื้นที่และการเปิดประเด็นใหม่อย่างต่อเนื่องช่วยให้คดีไม่ถูกลืม แต่ก็เสี่ยงต่อการสร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณะ และอาจกลายเป็นแรงกดดันต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่สอบสวน

“พลังโซเชียล” ไม่ได้ดีเสมอไป

โซเชียลมีเดียเปิดพื้นที่ให้ผู้คนทุกกลุ่มสามารถแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ หรือแม้กระทั่งตั้งข้อกล่าวหาต่อบุคคลในคดีได้แบบเรียลไทม์ โดยในคดี น้องชมพู่ กระแสในแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook และ YouTube กลายเป็นเวทีให้ประชาชนจำนวนมากร่วมติดตามและถกเถียง

อย่างไรก็ตาม การตีความหลักฐานโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม และการสร้างภาพจำของบุคคลจากคลิปหรือคำบอกเล่า อาจนำไปสู่การตัดสินล่วงหน้าที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในชั้นศาล ซึ่งปรากฏให้เห็นชัดเจนในกระแสต่อ นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล และ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

คดีน้องชมพู่ : ภาพจำที่สื่อและสังคมสร้าง

นับตั้งแต่ น้องชมพู่ หายตัวและพบเป็นศพบนภูเหล็กไฟในจังหวัดมุกดาหาร เหตุการณ์ดังกล่าวถูกสื่อรายงานแทบทุกวัน พร้อมการสัมภาษณ์ชาวบ้านและผู้เกี่ยวข้องแบบสด ๆ ทำให้เกิดการวิเคราะห์และตั้งข้อสังเกตอย่างหลากหลาย บางครั้งประเด็นเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในสำนวนคดี แต่กลับมีอิทธิพลต่อความเชื่อของผู้ติดตามข่าวจำนวนมาก

แม้ท้ายที่สุดศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาที่อ้างอิงจากหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์และพยานบุคคล แต่บรรยากาศของ “ศาลโซเชียล” ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม เพราะมีผลต่อการรับรู้ของสังคมตั้งแต่ต้นจนจบคดี

เหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นในหลายคดี เช่น คดีการเสียชีวิตของนักแสดง “แตงโม” หรือคดีอาญาในต่างประเทศที่โซเชียลมีเดียสร้างกระแสกดดันให้หน่วยงานสอบสวนต้องเร่งดำเนินการ ทั้งนี้ แม้การติดตามของสังคมจะช่วยเร่งกระบวนการค้นหาความจริง แต่หากขาดความรอบคอบ อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริสุทธิ์และกระทบต่อการพิจารณาคดี

กรณีเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าความสมดุลระหว่างการรายงานอย่างโปร่งใสและการเคารพกระบวนการยุติธรรม เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ทุกฝ่ายต้องคำนึงถึง

บทเรียนและทางออก

คดี น้องชมพู่ เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าสื่อและโซเชียลมีเดียสามารถเป็นทั้งพลังสนับสนุนการคลี่คลายคดี และเป็นความท้าทายต่อความยุติธรรมได้พร้อมกัน หน่วยงานรัฐ สื่อมวลชน และแพลตฟอร์มออนไลน์ ควรร่วมกันวางแนวทางป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่ยังไม่ตรวจสอบ และส่งเสริมให้สังคมรู้เท่าทันการเสพข่าว

การสร้างมาตรฐานการรายงานข่าวคดีอาญาในยุคดิจิทัล ไม่เพียงช่วยคุ้มครองสิทธิของทุกฝ่าย แต่ยังทำให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน

หนักกว่าเดิม ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก “ลุงพล” 26 ปี คดีน้องชมพู่

อย่าถึงกับเพรียกหา “ฮีโร่นอกรธน.”