หลังจากที่มีการนำเสนอเรื่องข้อตกลงความร่วมมือ MOU44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่หลายคนออกมาให้ความเห็นว่า อาจจะทำให้ไทยเสียเขตแดนทางทะเลให้กับกัมพูชาในอนาคต ซึ่งรวมถึงเกาะกูดด้วย เพราะเส้นเขตแดนที่ทางกัมพูชาลากมามันข้ามเกาะกูดมาเลย หลายคนจึงอยากจะให้ยกเลิก MOU ฉบับนี้ แต่ล่าสุด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ออกมาให้ความเห็นอีกทาง ว่าไม่ควรจะยกเลิก MOU44 เพราะไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบ ตรงกันข้าม นี่คือสารตั้งต้นที่จะทำให้เกิดการเจรจา แต่ถ้ายกเลิกต่างหากอาจจะมีผลเสียตามมาเพียบ
วันที่ 31 ต.ค. 2567 พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และอนุกรรมการจัดการความรู้เกี่ยวกับผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติทางทะเล และยังเป็นอดีตโฆษกกองทัพเรือ บอกว่า ในฐานะที่เคยเป็นหนึ่งในคณะทำงานเรื่องนี้ เห็นข้อมูลที่ปรากฎผ่านสื่อช่วงนี้ไม่ครบถ้วน และอาจจะทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดจึงอยากจะมาอธิบายเพิ่มเติม
ประเด็นแรกเรื่องเกาะกูด พล.ร.อ.จุมพล ยืนยันชัดเจนว่า เกาะกูดเป็นของไทย จบตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างชัดเจน ตามสันธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ.1907 รวมถึงบนเกาะกูดก็มีทั้งคนไทยที่ถือทะเบียนบ้านไทย มีกระโจมไฟที่สากลให้การยอมรับตั้งอยู่ รวมถึงมีหมู่เรือชายแดนประจำการรักษาเส้นเขตแดนบริเวณนั้นมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น เกาะกูดไม่มีทางตกไทยเป็นของทางฝั่งกัมพูชา
กลับมาที่เรื่องเอ็มโอยู 2544 ที่มีคนคัดค้านอยากจะให้ยกเลิกก่อนที่จะมีการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะมองว่าเอ็มโอยูฉบับนี้จะทำให้ไทยเสียเปรียบและอาจจะสูญเสียเขตแดนทางทะเลในอนาคต เพราะเท่ากับว่าไทยยอมรับเส้นเขตแดนที่ทางกัมพูชาลากเอาไว้ผ่านเกาะกูดไปโดยปริยาย
พล.ร.อ.จุมพล ให้ข้อมูลว่า เรื่องเส้นเขตแดนทางทะเล เวียดนามประกาศออกมาก่อนในปี 2514 กัมพูชาประกาศปี 2515 และไทยก็มาประกาศปี 2516 ทั้งหมดก็มีพื้นที่ทับซ้อนกันทั้งสิ้น ซึ่งการที่ไทยประกาศเส้นเขตแดนปี 2516 ก็เท่ากับว่า เราไม่ยอมรับเส้นเขตแดนของทางเพื่อนบ้านมาตั้งแต่ตอนนั้น และในอดีตที่ผ่านมาก็มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนกันมาหลายครั้ง
อย่างเวียดนามกับกัมพูชา ก็แก้ปัญหาด้วยการประกาศอ่าวประวัติศาสตร์ร่วมกัน ส่วนไทยกับเวียดนาม ก็แก้ปัญหาด้วยการแบ่งเขตทางทะเลกันไป
ซึ่งเท่ากับว่า ปัญหาของเวียดนามรวมถึงมาเลเซียที่ทับซ้อนกัน เราคุยจบไปแล้ว ในขณะที่ทางฝั่งของกัมพูชาไม่จบเสียที จนกระทั่งสุดท้ายผ่านไปถึง 28 ปี จึงมีการตั้งโต๊ะเจรจากับกัมพูชา และเกิดเป็นเอ็มโอยู 2544
โดยเอ็มโอยูฉบับนี้ต่างฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์ของตัวเอง ไม่ได้หมายความว่า ไทยยอมรับเส้นที่ทางกัมพูชาลาก แค่รับทราบว่ากัมพูชาอ้างสิทธิ์แบบนี้ เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลของไทยก็ปรากฏอยู่ในเอ็มโอยูเช่นกัน หมายความว่ากัมพูชาก็ยอมรับการอ้างสิทธิ์ของไทยด้วย แต่เอ็มโอยูฉบับนี้ จะเป็นกรอบที่ทั้งสองประเทศจะหยิบขึ้นมาเจรจากันต่อ ว่าเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน รวมถึงเจรจาผลประโยชน์ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน
ซึ่งคาดการณ์กันว่าจะมีบ่อน้ำมันอยู่ตรงนั้น ใครควรจะได้เท่าไหร่ เพราะอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล คศ.1982 ระบุไว้ชัดเจนว่าพื้นที่ทับซ้อนระหว่างประเทศที่อยู่ติดหรือตรงข้ามกัน ต้องทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างประเทศคู่กรณี
เพราะฉะนั้นไทยไม่ได้เสียเปรียบอะไรจากการทำ เอ็มโอยูฉบับนี้ ในทางตรงกันข้าม การจะยกเลิกเอ็มโอยู เรายกเลิกฝ่ายเดียวไม่ได้ และหากยกเลิกไป ก็เท่ากับปิดโอกาสในการเจรจาหาเส้นเขตแดนร่วมกัน ทรัพยากรใต้ทะเลซึ่งกำลังจะหมดอายุ ก็จะไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ และอาจจะลุกลามบานปลายไปถึงความสัมพันธ์และข้อตกลงอื่นๆก่อนหน้านี้ด้วย
ส่วนเรื่องเส้นเขตแดนที่กัมพูชาลากออกมานั้น พลเรือเอกจุมพลบอกว่ากัมพูชา อ้างอิงจากหลักเขตแดนที่ 73 บริเวณชายฝั่ง และยิงตรง ข้ามเกาะกูด ไปยังจุดแบ่งกึ่งกลางของอ่าวไทย ซึ่งเขาก็อ้างสิทธิ์เต็มที่ เพื่อการต่อรองในอนาคต ซึ่งตอนนี้ไทยเองก็ยังไม่ได้ยอมรับและก็อ้างสิทธิ์เต็มที่เช่นกัน เพราะต้องเจรจากันก่อน
โดยเอ็มโอยู 2544 ระบุพื้นที่ทับซ้อนออกเป็น 2 ส่วน ด้านบน(เหนือเส้นแลต 11 ) คือพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขตทางทะเลใหม่ และพื้นที่ด้านล่างคือ พื้นที่พัฒนาร่วมกันซึ่งมีน้ำมันอยู่ ในเอ็มโอยูเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า หากจะเจรจผลประโยชน์ในพื้นที่พัฒนาร่วมกัน ก็ต้องตกลงเส้นเขตแดนที่อยู่บริเวณพื้นที่ด้านบนเหนือเส้น แลต 11 ด้วย ซึ่งไทยเราก็พยายามอ้างสิทธิ์ในทะเลด้านบนเต็มที่ ที่ผ่านมาจึงยังไม่บรรลุข้อตกลงสักที
พล.ร.อ.จุมพล มองว่าไม่ควรตัดโอกาส การยกเลิกเอ็มโอยู 44 เพราะต่อให้เริ่มใหม่ก็ต้องวนกลับมาตั้งต้นที่แผนที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ์ หน้าตาแบบนี้อยู่ดี แต่เวลานี้ควรจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะรัฐบาลชินวัตรซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชา น่าจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้ในการเจรจาต่อรองอย่างเป็นธรรมและสันติจะดีกว่า ควรเปิดทางให้มีการเจรจาก่อน ส่วนผลการเจรจาประเทศจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ เราค่อยไปจับตากันตรงนั้น

ข้อมูล/ภาพ : พีพีทีวี