นครพนม คืบหน้าคดีหวยอลเวง 12 ล้าน ป้าสำลี คนสนิทในเหตุการณ์ ยืนยันเห็นคาตา “ผู้กองเข้ม” แบ่งลอตเตอรี่ให้ “ยายแหล้” แบ่งกันรวย ไม่ได้ฝากไว้ ตามคำกล่าวอ้าง แถมยังยัดเยียดให้เก็บไว้ ด้านตำรวจ สภ.ธาตุพนม ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหายักยอกทรัพย์ แต่ออกหมายเรียก “ยายแหล้” เข้าพบ 30 มกราคมนี้ หากใครไม่พูดความจริง อาจเข้าข่ายแจ้งความเท็จ ขณะที่ญาติแจงข่าวลือยายแหล้เดินทางไปประเทศอิตาลีแล้ว
จากกรณี ร.ต.อ.ฐิติพัฒน์ พัฒนภูมิเศรษฐ อายุ 65 ปี หรือผู้กองเข้ม อดีตตำรวจตระเวนชายแดน เกษียณอายุราชการ ซื้อลอตเตอรี่จำนวน 2 ใบ เลข 807779 งวดประจำวันที่ 17 มกราคม 2568 โดยก่อนออกผลรางวัล ได้เดินทางไปกินอาหารที่ร้านลาบแห่งหนึ่ง ในเขตเทศบาลตำบลธาตุพนม แล้วแบ่งลอตเตอรี่เลขดังกล่าวให้ “ยายแหล้” แม่ค้าร้านลาบ อายุ 68 ปี จำนวน 1 ใบ โดยบอกว่าจะแบ่งกันรวย ปรากฏว่า ถูกรางวัลที่ 1 จึงไปแจ้งความบันทึกหลักฐานลงประจำวันที่ สภ.ธาตุพนม
ต่อมามีรายงานว่า ร.ต.อ.ฐิติพัฒน์ พัฒนภูมิเศรษฐ อายุ 65 ปี หรือผู้กองเข้ม ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ธาตุพนม กล่าวหา ยายแหล้ แม่ค้าร้านลาบดังกล่าว ในข้อหายักยอกทรัพย์ อ้างว่าแค่ฝากไว้ ไม่ได้แบ่งให้
ขณะที่ทางด้าน พ.ต.อ.ถวิล คำเกษ ผกก.สภ.ธาตุพนม เปิดเผยว่า ในวันนั้น ทั้ง 2 คน มาขึ้นรางวัล นำเอกสารหลักฐานลอตเตอรี่ มาลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน คนละเที่ยวกัน และยืนยันไม่ได้ติดใจ เป็นการแบ่งกันตั้งแต่ต้น ที่ยังไม่รู้ว่าถูกรางวัล เจ้าหน้าที่ได้ลงประจำวันตามกฎหมาย เพื่อนำไปขึ้นรางวัล ต่อมาภายหลังทราบว่า มาแจ้งความว่า ยายแหล้ ยักยอกทรัพย์ ทางตำรวจรับไว้สอบสวน ถือเป็นการแจ้งความตามสิทธิ ผิดถูกว่ากันไปตามพยานหลักฐาน แต่หลักกฎหมาย จากข้อมูลมั่นใจว่า เป็นการให้โดยเสน่หา ส่วนจะมีการฟ้องร้อง สู้คดี หรือใครจะถูกข้อหาแจ้งความ ให้การเท็จ ฟ้องเท็จ เป็นกระบวนตามกฎหมาย โดยทางตำรวจให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่ จ.นครพนม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อีกคนที่เป็นพยานสำคัญยืนยันชัดเจน เกี่ยวกับ ปมดราม่าลอตเตอรี่ 12 ล้านบาท งวดประจำวันที่ 17 มกราคม 2568 คือ ป้าสำลี อายุ 61 ปี คนสนิทของ ยายแหล้ อายุ 68 ปี เจ้าของร้านลาบ ในเขตเทศบาลตำบลธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ยังยืนยันว่า ร.ต.อ.ฐิติพัฒน์ หรือผู้กองเข้ม อายุ 65 ปี ลูกค้าประจำ และสนิทสนมกัน ชอบมานั่งดื่มเหล้า ก่อนวันหวยออก 2 วัน ได้ซื้อลอตเตอรี่ เสี่ยงโชคประจำ และนำมาแบ่งให้ ยายแหล้ ลุ้นโชค
อีกทั้งยัง พูดจาหยอกล้อกัน ว่าแบ่งกันรวย ไม่มีการตกลงกันว่า จะแบ่งเงินสัดส่วนเท่าไหร่ และยังมีการพูดจาหยอกกันอีกว่า ถ้าถูกรางวัลที่ 1 จะนำมาเป็นสินสอดแต่งงานกัน เพราะทั้งสองคนเป็นม่าย

ทั้งนี้ ป้าสำลี คนเป็นพยาน อยู่ในเหตุการณ์ ยังกล่าวอีกว่า รู้ข่าวว่า ผู้กองเข้มไปแจ้งความ ตนไม่เห็นด้วย เพราะไม่น่าทำกัน เป็นคนกินอยู่ด้วยกันสนิทกัน ช่วยเหลือกันมาตลอด เพราะเชื่อว่า ตั้งใจแบ่งให้จริง
ส่วนการดำเนินคดี ของตำรวจ สภ.ธาตุพนม กรณี ผู้กองเข้ม มีการแจ้งความกล่าวหา ว่า ยายแหล้ ยักยอกทรัพย์ มีหลักฐานสำคัญ เพียงแค่คำกล่าวหา และเอกสารบันทึกประจำวัน เป็นหลักฐาน อยู่ระหว่างการรอสืบสวนเพิ่มเติม พร้อมออกหมายเรียก ยายแหล้ มาให้การเพิ่มเติม ในวันที่ 30 มกราคม 2568 แต่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา อีกทั้งตำรวจ ยังระบุว่า ให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย แต่หากผู้แจ้งความไม่พูดความจริง ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิ์ เอาผิดทางกฎหมายฐานแจ้งความเท็จ ส่วนคู่กรณี ทั้ง 2 คน ทราบว่า มีญาติมารับตัวไปอยู่ต่างจังหวัด ไม่สามารถติดต่อได้
ผู้สื่อข่าว รายงานอีกว่า พบหลักฐานสำคัญ ชัดสอดคล้องกับคำยืนยันของ ตำรวจ สภ.ธาตุพนม กรณีมีลงประจำวันแยกกัน สำหรับ ยายแหล้ เจ้าของร้านลาบก้อย กับ ร.ต.อ.ฐิติพัฒน์ หรือผู้กองเข้ม อดีตตำรวจตระเวนชายแดน หลังถูกลอตเตอรี่ รางวัลที่ 1 โดยผู้กองเข้ม เป็นคนซื้อ และนำมาแบ่งกัน คนละ 1 ใบ เพื่อลุ้นโชค แบ่งกันรวย จนกลายเป็นปมดราม่า เนื่องจากหลังขึ้นรางวัล ผู้กองเข้ม ขอแบ่งเงินเพิ่มอีก ประมาณ 2 ล้านบาท อ้างว่าแค่ฝากไว้ ทั้งที่ มีการลงประจำวันแยกกันชัดเจน
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบ พบว่า หลังผลรางวัลออก ปรากฏว่า ลอตเตอรี่ ทั้ง 2 ใบ ถูกรางวัลที่ 1 จึงมีการนำไปลงบันทึกประจำวัน เพื่อเป็นหลักฐาน ที่ สภ.ธาตุพนม โดยแยกกันนำลอตเตอรี่ ไปลงเป็นหลักฐาน แยกกัน คนละใบ รวมถึงจากเอกสารประจำวัน พบว่า เป็นคนละช่วงเวลากัน รวมถึงมีการนำไปขึ้นเงิน คนละครั้ง จนกลายเป็นข่าวฮือฮาว่า แบ่งกันรวยถึงแม้มีข่าวว่า ผู้กองเข้ม ออกมาขอเงินเพิ่มบางส่วน กับยายแหล้ ระบุว่า แค่ฝากไว้ไม่ได้ยกให้ แต่จากการตรวจสอบข้อมูล ทางญาติยายแหล้ ยืนยันว่า ผู้กองเข้ม ให้เพื่อแบ่งกันลุ้นโชค เพราะให้ก่อนออกรางวัล พอรู้ผลรางวัล ได้ดำเนินการนำหลักฐานลงประจำวัน ที่ สภ.ธาตุพนม ด้วยกัน ก่อนที่จะนำลอตเตอรี่ ไปขึ้นเงินตามกฎหมาย
สำหรับบรรยากาศล่าสุดที่ร้านลาบยายแหล้ พบว่าร้านปิด โดยญาติให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระแสข่าวลือ ยายแหล้เดินทางไปประเทศอิตาลีแล้ว ว่า ที่พูดกันว่า “ยายแหล้ไปรี่แล้วๆ” ไปรี่ๆ คือ ไปแอบหายไปหนีไป ไม่ได้หมายความว่าไปอิตาลีแต่อย่างใด
ข้อมูล / ภาพ : ไทยรัฐ