ในประเทศที่คนดังส่วนใหญ่มักมาจากหน้าจอทีวี หรือเวทีการเมืองที่เต็มไปด้วยสคริปต์ คนแบบ “จอน อึ๊งภากรณ์” จึงดูแปลกแยก…
แต่เป็นความแปลกแยกที่น่ากลัวสำหรับผู้มีอำนาจ
หลายคนรู้ว่าเขาเป็นบุตรชายของ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ปูชนียบุคคลทางเศรษฐกิจไทยผู้ลี้ภัยจากเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 แต่สิ่งที่คนทั่วไปอาจไม่รู้คือ จอนเลือกไม่ใช้ “ความเป็นลูก” เพื่อไต่เต้าทางอำนาจ หากแต่ใช้เท้าเปล่าเดินเข้าไปในสลัม เข้าเรือนจำ และชนบท เพื่อฟังเสียงที่ไม่มีใครฟัง
เขาคือผู้ก่อตั้ง มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ในปี 2534 หนึ่งในผู้ผลักดันให้ผู้ติดเชื้อ HIV ได้เข้าถึง ยาต้านไวรัสในราคาที่คนจนก็มีสิทธิ์รอดชีวิต การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้บริษัทยายักษ์ใหญ่ต้องลดราคายาลง และทำให้รัฐไทยจำต้องปรับนโยบายสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ต่อมา จอนเป็นแรงผลักสำคัญเบื้องหลัง เว็บไซต์ “ประชาไท” ซึ่งเปิดพื้นที่ให้เสียงของประชาชนธรรมดาได้ดังในสื่อยุคที่กระแสหลักกลัวความจริง
และที่สำคัญที่สุด เขาคือผู้ก่อตั้งโครงการ iLaw (อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน) ที่ผลักเพดานให้ประชาชนสามารถเสนอกฎหมายด้วยตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอ ส.ส. หรือ ครม. สะท้อนหลักการว่า กฎหมายไม่ควรผูกขาดอยู่ในมือคนไม่กี่คน
แม้เขาเคยเป็น วุฒิสมาชิก แต่ไม่ได้หลงติดกับตำแหน่ง หากใช้เวทีนั้นตั้งคำถามต้องห้าม เช่น:
- งบลับของทหารคืออะไร?
- ใครรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิในภาคใต้?
- ทำไมรัฐกลัวการตรวจสอบ?
จอน อึ๊งภากรณ์ ไม่เคยชูนิ้วกลาง ไม่เคยตะโกนปราศรัยเสียงดัง แต่เขาสร้าง โครงสร้าง ที่ทำให้คนรุ่นใหม่กล้าคิด กล้าถาม และกล้าท้าทายรัฐที่ไม่โปร่งใส
เขาคือ “นักการเมืองที่ไม่ลงสมัคร” แต่ทรงอิทธิพลกว่านักการเมืองหลายคนรวมกัน
เขาใช้ชีวิตเงียบๆ แต่ทิ้งร่องรอยไว้ลึกในระบบประชาธิปไตยไทย
วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 จอนจากไปอย่างสงบในวัย 77 ปี ที่บ้านพัก
แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้ ไม่ใช่เพียงความทรงจำ มันคือแรงผลักดันให้ประชาชนสร้างรัฐของตนเอง
หากรัฐไทยกลัวอะไรที่สุด…
บางทีมันอาจไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ปฏิวัติ แต่คือคนธรรมดา
ที่กล้าตั้งคำถามกับโครงสร้างอำนาจ
และชื่อของเขาคือ “จอน อึ๊งภากรณ์”

ภาพ : the101.world