ไม่มีใครคาดคิดว่า “อาคารของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน” ซึ่งควรจะเป็นสัญลักษณ์ของความรอบคอบและความมั่นคงทางการเงิน จะกลายเป็น “ซากเหล็กพังทลาย” ที่บ่งบอกถึงความบกพร่องตั้งแต่รากฐาน ทั้งในเชิงโครงสร้าง และในเชิงจริยธรรมของภาคเอกชนที่เข้ามารับผิดชอบงานนี้
และวันนี้… “เส้นทางคดี” เริ่มเข้าใกล้จุดเปลี่ยนอีกขั้น เมื่อ นายพลเดช กรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นส่วนหนึ่งในหายนะครั้งนี้ เข้ามอบตัวกับตำรวจแล้วถูกส่งฝากขังทันที ณ ศาลอาญา โดยศาล “ไม่อนุญาตให้ประกันตัว” แม้จะมีหลักทรัพย์เงินสดหนึ่งล้านบาทอยู่ในมือ!
อัยการค้านทันที ด้วยเหตุผลว่า “คดียังอยู่ระหว่างสอบสวน” และ “เป็นคดีที่มีโทษสูง” อีกทั้งกังวลว่าอาจหลบหนี นี่คือคำตัดสินที่ฟาดแรงลงมาด้วยเหตุผลที่หนักแน่นพอๆ กับน้ำหนักของอาคารที่ถล่มลงมา
ในขณะที่ผู้ต้องหายืนยันว่าตนมีหน้าที่เพียง วางระบบไฟฟ้าและระบบปรับอากาศ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ โครงสร้างอาคาร ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นคำอธิบายตามตำรา แต่คำถามที่กระแทกใจคนฟังคือ…
“หากไม่เกี่ยวข้องจริง แล้วทำไมถึงถูกออกหมายจับ?”
การที่บริษัทซึ่งทำเพียง “ระบบ” แต่กลับต้องเผชิญข้อกล่าวหาในมาตรา 227 และ 238 ของประมวลกฎหมายอาญา ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำโดยประมาทจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต แปลว่าคำว่า “ระบบ” นั้นอาจลึกซึ้งกว่าที่เข้าใจ หรือไม่เช่นนั้นก็มีผู้แอบซุก “ความรับผิดชอบ” ไว้ใต้พรม
นางประณีต แสงอลังการ ซึ่งมาในนามของนิติบุคคล ถูกปล่อยตัวไปด้วยเหตุผลว่า “ไม่มีความเกี่ยวข้องในเชิงโครงสร้าง” ทำให้การจับตามองตกอยู่ที่ “พลเดช” เพียงผู้เดียว… และนั่นยิ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็น ละครดราม่าในวงการก่อสร้างที่มีเดิมพันเป็นชีวิตของผู้บริสุทธิ์
วันนี้ พลเดชยังไม่ยอมให้การในรายละเอียด แต่บอกว่าจะให้การเพิ่มเติมในชั้นศาล คำถามที่ตามมาคือ “ศาลจะได้ฟังความจริง หรือเพียงได้ฟังเวอร์ชันที่กลั่นกรองแล้ว?”
ในระหว่างที่หลายฝ่ายยังรอ “รายชื่อผู้มีอำนาจ” และ “เส้นทางเงิน” ที่อยู่เบื้องหลังโครงการนี้ถูกเปิดเผย คนไทยก็เริ่มเรียนรู้ว่าแม้แต่หน่วยงานที่ควรตรวจสอบงบประมาณ ก็อาจไม่สามารถตรวจสอบโครงสร้างของตัวเองได้…
และหากคดีนี้เงียบหายกลางทาง เหมือนคดีสะเทือนขวัญอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน เราคงไม่ได้เสียแค่ตึก แต่เรากำลังเสียศรัทธาไปทีละชั้น…
