วันนี้ (22 สิงหาคม 2568) ศาลอาญามีกำหนดอ่านคำพิพากษาคดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองร้อนแรงและความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ การพิจารณาครั้งนี้ไม่เพียงชี้ชะตาทางกฎหมายของทักษิณ แต่ยังถูกจับตาว่าจะส่งแรงสั่นสะเทือนต่อทิศทางการเมืองไทยในระยะต่อไปอย่างไร
ปราศรัยต่างประเทศ สะเทือนถึงเมืองไทย
ต้นตอของคดีมาตรา 112 เกิดขึ้นจากการปราศรัยของทักษิณในเวทีสาธารณะต่างประเทศช่วงปี 2558 ซึ่งมีบางช่วงบางตอนที่ถูกฝ่ายกฎหมายและนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามยกขึ้นมาเป็นประเด็นว่ามีลักษณะเข้าข่าย “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
แม้ทักษิณจะพำนักอยู่นอกประเทศในเวลานั้น แต่พนักงานสอบสวนและอัยการได้ดำเนินการสอบพยานและรวบรวมหลักฐานต่อเนื่อง จนนำมาสู่การออกหมายจับและการฟ้องร้องในเวลาต่อมา
พยานหลักฐานและกระบวนการไต่สวน
คดีนี้มีพยานบุคคลสำคัญหลายรายที่ถูกเบิกความต่อศาล ได้แก่
- เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ผู้ถอดคำปราศรัยจากสื่อในต่างประเทศ
- ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและภาษา ที่ตีความถ้อยคำในคลิปปราศรัย
- เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ซึ่งเป็นผู้รวบรวมสำนวนและหลักฐานเอกสาร
- นักวิชาการด้านสถาบันการเมือง ที่ให้ความเห็นถึงผลกระทบต่อสังคม
นอกจากนี้ยังมีพยานเอกสารจำนวนมาก ทั้งบันทึกการประชุม คลิปเสียง และรายงานจากหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ศาลนำมาประกอบการพิจารณา
ครบรอบ 2 ปี ที่กลับบ้าน
การตัดสินใจกลับประเทศไทยของทักษิณเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นับเป็นการกลับบ้านครั้งสำคัญหลังลี้ภัยนานกว่า 15 ปี และนั่นทำให้กระบวนการคดีที่ค้างคาอยู่ต้องเดินหน้าทันที อัยการสูงสุดได้รื้อฟื้นการดำเนินคดีและยื่นฟ้องต่อศาลอาญา โดยมีหลายสำนวนเกี่ยวข้อง ทั้งคดีทุจริต คดีมาตรา 112 และคดีอื่นที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจช่วงดำรงตำแหน่ง
ศาลอาญากำหนดนัดอ่านคำพิพากษาในวันนี้ (22 สิงหาคม 2568) โดยนายทักษิณต้องเดินทางมาฟังคำตัดสินด้วยตนเอง บรรยากาศรอบศาลเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผู้สนับสนุนที่เดินทางมาให้กำลังใจ รวมทั้งสื่อมวลชนที่ตามเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

จบอย่างไร ก็สะเทือนรัฐบาล
ไม่ว่าผลคำตัดสินจะออกมาอย่างไร ย่อมกระทบต่อสมการทางการเมืองไทยอย่างแน่นอน หากศาลลงโทษจำคุก จะกลายเป็นแรงกดดันต่อพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลผสมที่มีบทบาทอยู่ในปัจจุบัน แต่หากผลออกมาเบากว่าที่หลายฝ่ายคาด ก็อาจทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ากระบวนการยุติธรรมไม่เป็นกลาง
นอกจากนี้ ยังมีมิติความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับนานาประเทศที่ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด เพราะสะท้อนภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายของไทยบนเวทีโลก