นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวลือที่ว่ามีการซื้อเสียงโหวตด้วยงบประมาณสูงถึง 2 พันล้านบาท เพื่อล้มรัฐบาลและพลิกขั้วทางการเมือง หากต้องมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยยืนยันว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ พร้อมกับท้าทายผู้ปล่อยข่าวให้มาพบกับตนเอง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงกรณีที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะต้องเข้าชี้แจงต่อศาลในวันที่ 29 สิงหาคม ว่ายังไม่ควรคาดเดาผลลัพธ์ล่วงหน้า เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
“ภูมิธรรม” ย้อนถามแหล่งข่าวซื้อเสียง 2 พันล้าน ท้าชน บอกจะไปเจอเจ้าตัว
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 28 สิงหาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ตอบโต้กระแสข่าวลือที่แพร่สะพัดว่า มีการเตรียมเงินจำนวน 2 พันล้านบาทเพื่อซื้อเสียงโหวตสำหรับโค่นล้มรัฐบาล หากจำเป็นต้องมีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่เกิดขึ้น โดยนายภูมิธรรมได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใครหรอครับ บอกมาเลยผมจะได้ไปเจอ ผมยังไม่ได้ยินเรื่องนี้”
เมื่อถูกถามย้ำถึงความเป็นไปได้ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะมีการพลิกขั้ว หากผลการพิจารณาคดีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ออกมาในทางลบ นายภูมิธรรมได้แสดงความเห็นว่า “อย่าไปคิดสิ่งที่ยังไม่เกิด ตรงนั้นจะเกิดเมื่อนายกฯ มีความผิด แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้เลยว่านายกฯ มีความผิดหรือไม่ เอาไปทีละขั้นตอน” ซึ่งเป็นการเน้นย้ำว่า ทุกฝ่ายควรรอให้กระบวนการทางกฎหมายสิ้นสุดลงเสียก่อน
ในส่วนของข่าวที่ว่า ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจะเดินทางมาให้กำลังใจน.ส.แพทองธารที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว เนื่องจากมีภารกิจงานราชการจำนวนมาก แต่เชื่อว่าเป็นการแสดงความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งระบุว่า ไม่มีใครสามารถรู้ผลการตัดสินของศาลล่วงหน้าได้ โดยระบุว่า “อย่าไปคิดอย่างนั้น ตนเชื่อว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย เชื่อในความตั้งใจและความบริสุทธิ์ใจของนายกฯ และเชื่อว่าข้อกล่าวหาไม่ใช่ปัญหา และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศหลายส่วนก็ระบุว่าเป็นเรื่องธรรมดาทางการทูต ดังนั้น ส.ส.จึงมั่นใจและคิดว่าจะประสบความสำเร็จ เลยอยากมาแสดงความยินดี อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าศาลจะใช้ดุลพินิจอย่างไร”
ข้อมูลจาก : matichon
