โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามใน คำสั่งบริหาร เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 เพื่อสนับสนุนข้อตกลงการโอนกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ ให้แก่นักลงทุนอเมริกัน โดยถือเป็นความพยายามสร้างสมดุลระหว่างการ “รักษาความมั่นคงแห่งชาติ” และ “ปกป้องสิทธิผู้ใช้งาน” ข้อตกลงนี้จะทำให้ ByteDance บริษัทแม่จากจีน ลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือไม่เกิน 20% ขณะที่หุ้นส่วนใหญ่จะถูกครอบครองโดยกลุ่มทุนสหรัฐฯ
คำสั่งบริหารเพื่อผลักดันข้อตกลง
ทำเนียบขาวระบุว่า คำสั่งดังกล่าวจัดให้ข้อตกลงการโอน TikTok สหรัฐฯ เป็น “qualified divestiture” หรือการแยกกิจการออกจากผู้ถือหุ้นต่างชาติที่ถูกจัดว่าเป็น “คู่แข่งด้านความมั่นคง” ตามกฎหมายสหรัฐฯ ที่ผ่านในปี 2024 การดำเนินการนี้ไม่เพียงตอบสนองต่อแรงกดดันทางการเมือง แต่ยังเป็นการป้องกันไม่ให้ข้อมูลผู้ใช้ชาวอเมริกันตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลจีน
โดนัลด์ ทรัมป์ ชี้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ช่วย “รักษา TikTok” ในฐานะแพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมของคนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกันก็เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ

โครงสร้างการถือหุ้นใหม่ของ TikTok
ภายใต้ข้อตกลงนี้ ByteDance จะถูกจำกัดให้ถือหุ้นไม่เกิน 20% และไม่มีอำนาจควบคุมด้านความมั่นคงในระบบการทำงานของ TikTok สหรัฐฯ ส่วนที่เหลือจะถูกโอนให้แก่นักลงทุนชาวอเมริกันหลายกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดทุนสหรัฐฯ
ข้อตกลงยังคงเปิดช่องให้นักลงทุนสหรัฐฯ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเติมในอนาคต โดยมีการกำหนดโครงสร้างเพื่อป้องกันการครอบงำจากผู้ถือหุ้นต่างชาติที่ถูกมองว่าอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
ให้เวลาเพิ่มอีก 120 วันดำเนินการ
คำสั่งบริหารของทรัมป์ยังขยายเวลาการโอนกิจการออกไปอีก 120 วัน เพื่อให้การปรับโครงสร้างเสร็จสมบูรณ์ ก่อนจะมีผลบังคับใช้มาตรการห้ามแอปพลิเคชันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ “foreign adversary” ตามที่กฎหมายสหรัฐฯ ระบุ
การขยายเวลานี้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด “สุญญากาศทางธุรกิจ” และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถปรับตัว ทั้งในด้านกฎหมาย การเงิน และโครงสร้างการบริหาร
เสียงสะท้อนจากสังคมและการเมือง
นักการเมืองบางส่วนยกย่องการตัดสินใจของทรัมป์ว่าเป็นการ “กู้ TikTok” ไม่ให้หายไปจากตลาดสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้และนักลงทุนว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่ถูกควบคุมจากต่างชาติ
อย่างไรก็ดี กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิดิจิทัลบางรายยังคงกังวลว่า ข้อตกลงนี้อาจเปิดช่องให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถึงข้อมูลผู้ใช้มากขึ้น และต้องจับตาว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงกับเสรีภาพของผู้ใช้งานได้จริงหรือไม่