วันที่ 14 ต.ค. 2568 ที่ รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภานัดพิเศษเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ นายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อภิปรายความกังวลเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย พร้อมเตือนถึงความเสี่ยงจากการลดอายุสภาผู้แทนราษฎรเหลือเพียง 2 ปี และความท้าทายในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จทันก่อนยุบสภา ยืนยันร่างเพื่อไทยยังคงยึดอำนาจรัฐสภา ส.ส.ร. ต้องยกร่างเสร็จแล้วนำกลับมาให้รัฐสภาพิจารณาอีกครั้ง
ชูศักดิ์ ชี้ความเสี่ยงจากการแก้รัฐธรรมนูญ
นายชูศักดิ์ ศิรินิล กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 ถูกจัดทำในยุคที่รัฐบาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ทำให้บทบัญญัติหลายประการขาดความสมดุล ขาดประชาธิปไตย และอำนาจของฝ่ายบริหารอ่อนแอ ทำให้การตรวจสอบการใช้อำนาจขององค์กรต่างๆ เป็นไปได้ยาก รวมถึงการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน
เขายังชี้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เกิดจาก MOA (Memorandum of Agreement) ระหว่าง 2 พรรคการเมือง ที่ตกลงกันให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และยุบสภาเร็วขึ้น ทำให้สภาผู้แทนราษฎรต้องลดอายุวาระจาก 4 ปีเหลือเพียง 2 ปี และมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถเสร็จทันภายใน 4 เดือน

การลงทุนมหาศาลและมีความไม่แน่นอน
นายชูศักดิ์เน้นย้ำว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการลงทุนมหาศาล ทั้งทางเวลาและกระบวนการ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จ 100% เนื่องจากยังไม่ทราบหน้าตาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่พรรคเพื่อไทยยืนยันดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
เขายกตัวอย่างประวัติการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2550 ที่เคยยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง และตัวเขาเคยทำหน้าที่ทนายซักค้านเอง จนสุดท้ายศาลวินิจฉัยว่าไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง
ยืนยันอำนาจรัฐสภาในร่าง “เพื่อไทย”
ร่างของพรรคเพื่อไทยกำหนดให้มี กรรมาธิการ 27 คน จากผู้เชี่ยวชาญและวิชาชีพ และสมาชิก ส.ส.ร. 150 คน เป็นผู้ตั้ง หลังจากส.ส.ร.ยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ต้องนำกลับมาให้ รัฐสภา พิจารณาเห็นชอบหรือแก้ไขเพิ่มเติม หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ร่างรัฐธรรมนูญจะตกไป
พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะไม่แก้ หมวด 1 และ หมวด 2 เนื่องจากมาตรา 256 ครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองอยู่แล้ว แต่สามารถแก้ไขได้หากมีประชามติ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในกฎหมาย
รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและความชัดเจนของบทบัญญัติ
นายชูศักดิ์ระบุว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 หรือที่เรียกว่า “ฉบับปราบโกง” มีการตีความเกินจริงว่าใครไม่เห็นด้วยถือเป็นการสนับสนุนคนโกง ซึ่งไม่ถูกต้อง การลงโทษต้องชัดเจน ไม่ใช่ตีความตาม “วิญญูชนเข้าใจได้ว่า…” หรือให้ศาลรัฐธรรมนูญลงมติเอาผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งออกจากตำแหน่ง