รัฐบาล กัมพูชา เตรียมส่งตัวชาว เกาหลีใต้ 59 คน กลับประเทศ หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับศูนย์ หลอกลวงออนไลน์ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดตาแก้ว ใกล้ชายแดนเวียดนาม เหตุเกิดหลังจากคณะทำงานของเกาหลีใต้เดินทางเข้าพบ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อหารือความร่วมมือด้านความมั่นคงและปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ที่มุ่งเป้าชาวเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตำรวจกัมพูชาลงพื้นที่ตรวจฐานหลอกลวงออนไลน์ใกล้ชายแดนเวียดนาม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจของ กัมพูชา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคารในจังหวัดตาแก้ว ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนเวียดนาม หลังได้รับรายงานว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นฐานปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ที่ใช้แรงงานจากการค้ามนุษย์ เพื่อดำเนินการหลอกเหยื่อทั่วโลก ผู้ว่าการอำเภอในพื้นที่เปิดเผยว่า คณะสืบสวนจากเกาหลีใต้ได้เดินทางมาตรวจสอบข้อมูล แต่เมื่อเข้าตรวจค้นกลับพบว่าผู้ต้องสงสัยทั้งหมดได้หลบหนีออกจากพื้นที่ไปก่อนหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม ตำรวจกัมพูชาได้เก็บรวบรวมหลักฐานไว้ในสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อใช้ในกระบวนการสอบสวนและปราบปรามต่อไป เกาหลีใต้หารือ “ฮุน มาเนต” เดินหน้าความร่วมมือปราบอาชญากรรมข้ามชาติ ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว คณะผู้แทนจากเกาหลีใต้ นำโดย คิม จิน-อา รัฐมนตรีต่างประเทศคนที่ 2 ได้เข้าพบ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์และขบวนการหลอกลวงที่มุ่งเป้าพลเมืองเกาหลีใต้ รวมถึงการช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อให้สามารถกลับประเทศได้อย่างปลอดภัย ผู้นำกัมพูชากล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์การเสียชีวิตของนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมให้คำมั่นว่าจะเร่งจับกุมผู้กระทำผิดและดำเนินการปราบปรามเครือข่ายหลอกลวง เพื่อปกป้องพลเมืองทั้งสองประเทศ และย้ำว่าความร่วมมือระหว่างกัมพูชาและเกาหลีใต้จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างใกล้ชิด “ฮุน มาเนต” กังวลผลกระทบต่อการลงทุน หลังโซลออกคำเตือนเดินทาง ขณะเดียวกัน ฮุน มาเนต แสดงความกังวลต่อการที่รัฐบาลเกาหลีใต้ออกคำเตือนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปกัมพูชา โดยชี้ว่าอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการลงทุนในประเทศ พร้อมขอให้รัฐบาลเกาหลีใต้พิจารณาปรับลดระดับคำเตือนลงโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม คิม จิน-อา ยืนยันว่า มาตรการดังกล่าวเป็นเพียงการป้องกันชั่วคราว และรัฐบาลเกาหลีใต้จะพิจารณาทบทวนอีกครั้งเมื่อสถานการณ์ด้านความปลอดภัยดีขึ้น นอกจากนี้ ฝ่ายเกาหลีใต้ยังได้แสดงความกังวลต่อกระแสข่าวเชิงลบเกี่ยวกับกัมพูชาในสื่อของตน ซึ่งผู้นำทั้งสองประเทศเห็นพ้องว่าควรร่วมมือกันในการฟื้นฟูภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติ ส่งตัว 59 ชาวเกาหลีใต้กลับประเทศ เตรียมสอบเชื่อมโยงขบวนการสแกม หลังการหารือ ตำรวจกัมพูชาเปิดเผยว่า มีแผนส่งตัว ชาวเกาหลีใต้ 59 คน ที่เคยทำงานในศูนย์หลอกลวงออนไลน์กลับประเทศในเร็ว ๆ นี้ โดยก่อนหน้านี้ฝ่ายเกาหลีใต้คาดว่ามีพลเมืองของตนอย่างน้อย 63 คนที่ถูกควบคุมตัวในกัมพูชา ซึ่งรวมถึงทั้งผู้ที่เข้าร่วมโดยสมัครใจและผู้ที่ถูกบังคับ ขณะเดียวกัน กระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ระบุว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกำลังดูแลชาวเกาหลีใต้อยู่ราว 80 คน แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ากลุ่มดังกล่าวเป็นบุคคลเดียวกับผู้ที่สูญหายไปหรือไม่ เผยศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชากว่า 256 แห่ง ขยายตัวเกิน 4 เท่า ข้อมูลจาก Cyber Scam Monitor เผยว่า ปัจจุบันกัมพูชามีศูนย์ปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์และกาสิโนกระจายอยู่ตามแนวชายแดนไม่ต่ำกว่า 256 แห่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า เมื่อเทียบกับรายงานของ Amnesty International เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา โดยมีแรงงานจากหลายประเทศรวมกว่า 200,000 คนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทางการเกาหลีใต้ประเมินว่ามีพลเมืองของตนไม่น้อยกว่า 1,000 คนตกอยู่ในเครือข่ายเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกหลอกลวงหรือตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ สื่อเกาหลีตีแผ่ชีวิตเหยื่อ “สแกมกัมพูชา” สะท้อนปัญหาสิทธิมนุษยชน สื่อเกาหลีใต้อย่าง โคเรีย จูงอัง เดลี และอีกหลายสำนักข่าว ได้เริ่มนำเสนอรายงานเกี่ยวกับชะตากรรมของเหยื่อขบวนการหลอกลวงในกัมพูชา โดยหนึ่งในกรณีที่ได้รับความสนใจ คือชายชาวเกาหลีใต้วัย 40 ปีที่ถูกหลอกไปทำงานในเมืองสีหนุวิลล์ ถูกทำร้ายร่างกายและขายให้กับแก๊งค้าบัญชีธนาคารเพื่อใช้ในปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ เหยื่อรายนี้เปิดเผยว่า ตำรวจกัมพูชาเข้าตรวจค้นพื้นที่ในช่วงที่เขาถูกกักขัง แต่กลับถูกจับกุมแทนที่จะได้รับการช่วยเหลือ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องขังที่แออัดและไม่ถูกสุขอนามัยนานถึง 5 สัปดาห์ เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นสัญญาณเตือนต่อรัฐบาลในภูมิภาคถึงความจำเป็นในการจัดการขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง


