สทนช.เผยระดับน้ำหาดใหญ่สูงเกินตลิ่ง 2.2 เมตร จากฝนตกสะสมรุนแรงที่สุดในรอบ 300 ปี ชี้ระบบระบายน้ำรับไม่ไหว พร้อมแนะเร่งขุดลอกคลองหลักและรัฐบาลสั่งทุกหน่วยงานเร่งช่วยประชาชน
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกคำเตือนระดับน้ำในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา เพิ่มสูงเกินตลิ่งกว่า 2.2 เมตร เมื่อช่วงเช้าวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 หลังเกิดฝนตกสะสมรุนแรงในพื้นที่ อ.สะเดา ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์หนักสุดในรอบกว่า 300 ปี โดย นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สทนช. ระบุว่าระบบระบายน้ำของจังหวัดรับน้ำได้ไม่ทัน พร้อมแนะเร่งขุดลอกคลองสำคัญเพื่อรับมือสถานการณ์ระยะยาว ขณะที่รัฐบาลสั่งทุกหน่วยงานเร่งช่วยประชาชนอย่างเร่งด่วน

ฝนสะสมมหาศาลทำระบบระบายน้ำหาดใหญ่ล้นเกินศักยภาพ
นายดนุชา พิชยนันท์ เปิดเผยว่าพื้นที่ อ.หาดใหญ่ มีลักษณะระบบจัดการน้ำต่างจากจังหวัดในภาคเหนือและภาคกลาง โดยพึ่งพาการระบายน้ำออกสู่คลองสายหลักหลายสาย ทำให้เมื่อเกิดฝนตกสะสมปริมาณมาก จึงเกิดการอุดตันในระบบรับน้ำอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ครั้งนี้มีต้นเหตุจากฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ อ.สะเดา ส่งผลให้ปริมาณน้ำหลากไหลลงสู่เขตเมืองในเวลาอันสั้น
คลอง ร.1 ซึ่งเป็นหนึ่งในคูระบายหลักของหาดใหญ่ สามารถรองรับน้ำได้ราว 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในรอบล่าสุดสูงถึง 880 มิลลิเมตรภายในหนึ่งชั่วโมง ทำให้ความสามารถในการระบายน้ำไม่เพียงพอ ประกอบกับฝนที่ยังตกต่อเนื่องยิ่งทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วในหลายจุดของตัวเมือง
ระดับน้ำพุ่งสูงอีก 2.2 เมตร เหตุฝนตกต่อเนื่องช่วงกลางคืน
จากรายงานติดตามสถานการณ์น้ำในช่วงเวลา 11.00–13.00 น. พบว่าปริมาณน้ำริมตลิ่งยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระดับน้ำสูงเกินตลิ่งอีกกว่า 2.2 เมตร อันเป็นผลจากฝนที่ตกหนักในคืนก่อนหน้า ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำในอำเภอหาดใหญ่ต้องเร่งอพยพและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
สทนช. ระบุว่าความรุนแรงของปริมาณน้ำฝนครั้งนี้จัดเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 300 ปี ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในภาคใต้ จึงจำเป็นต้องมีแนวทางจัดการน้ำที่สอดคล้องกับแนวโน้มสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทั้งในแง่โครงสร้างพื้นฐานและระบบเตือนภัยล่วงหน้า
เสนอเร่งลอกคลองหลักรับมืออนาคต พร้อมรัฐบาลสั่งช่วยเหลือเร่งด่วน
นายดนุชาแนะนำว่าการบริหารจัดการน้ำระยะยาวของจังหวัดสงขลาควรมุ่งขุดลอกคลอง ร.1 ให้ลึกกว่าเดิม และขยายคลองอู่ตะเภาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับน้ำหลาก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญเช่นหาดใหญ่ โดยชี้ว่าสถานการณ์เช่นนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วควรมีระบบรองรับที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้สั่งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนเป็นอันดับแรก ทั้งการอพยพผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง การจัดหาอาหาร น้ำดื่ม และการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ภาคสนาม พร้อมติดตามประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักในพื้นที่หาดใหญ่อีกระลอก


