ส.อ.ท. ผนึก ‘กระทรวงพลังงาน’ ดันภาคอุตฯ ปรับตัวลดคาร์บอนรับเทรนด์โลก

ส.อ.ท. จับมือกระทรวงพลังงาน ดันภาคอุตสาหกรรมปรับตัวรับมือเทรนด์โลก รมว.ชี้ใช้แผน PDP ใหม่หนุนเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดมุ่งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอน

วันที่ 17 ตุลาคม 2567 นายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจ ภาวะโลกร้อนที่ก้าวเข้าสู่ภาวะโลกเดือด และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานโลก และนับเป็นความท้าทายของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบ

โดยเฉพาะพลังงานถือเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินงานและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม

ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ SMEs จำเป็นต้องปรับตัวและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความท้าทายอย่างเร่งด่วน รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) จะมีส่วนช่วยอุตสาหกรรมก้าวสู่การแข่งขันอย่างยั่งยืนในอนาคตได้ ที่ผ่านมา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะตัวแทนภาคอุตสาหกรรมที่มีบทบาทในการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของภาคอุตสาหกรรม เล็งเห็นถึงความสำคัญของสถานการณ์ด้านพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น ส.อ.ท. จึงได้มียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนภายใต้นโยบาย ONE FTI (One Vision, One Team, One Goal) โดยเน้นการขับเคลื่อน First Industries หรืออุตสาหกรรมเดิม และขยายผลสู่ Next-GEN Industries ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curves) ที่ขับเคลื่อนด้วย BCG Model (Bio-Circular-Green) ที่เป็นทิศทางของโลกในปัจจุบัน

โดยภาคอุตสาหกรรมต้องมีการเตรียมความพร้อมและรับมือต่อผลกระทบจากมาตรการภายใต้กรอบนโยบายจากต่างประเทศ ที่มาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) หรือมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU) ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยและอีกหนึ่งแนวทางขับเคลื่อนผู้ประกอบการสู่ Smart SMEs ผ่าน 4GO ประกอบไปด้วย

1. Go Digital & AI ภายใต้โครงการ “Digital One” เพื่อช่วยยกระดับ SMEs ทั่วประเทศ โปรแกรมด้านต่าง ๆ ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และช่วยลดรายจ่าย ตรงนี้เป็นนโยบายเชิงรุกที่จะช่วยยกระดับให้เป็นสมาร์ทเอสเอ็มอี (Smart SMEs) ได้เร็วขึ้น

2. Go innovation เป็น SMEs “จิ๋วแต่แจ๋ว” ในส่วนของ ส.อ.ท. ได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดตั้งกองทุนนวัตกรรมที่เรียกว่า “Innovation One” หรือโครงการกองทุนอินโนเวชั่นวันโดยกระทรวง อว. ได้ให้งบสนับสนุน 1,000 ล้านบาท และ ส.อ.ท. สมทบอีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็น 2,000 ล้านบาท ในกรอบระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุน SMEs และสตาร์ตอัพ (Startup) ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า

3. Go Global จะผลักดันผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถผลิตและขายสินค้าไปต่างประเทศได้ในมาตรฐานที่ต่างประเทศยอมรับ หากเป็น SMEs ที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของผู้ส่งออกต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในไทย จะผลักดันให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อยกระดับมาตรฐานตัวเองไปกับสินค้าต่าง ๆ

4. Go Green จะผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs ผลิตสินค้าและมีกระบวนการทั้งหมดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะปัจจุบันผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ คือ สินค้าที่ทั้งโลกต้องการและขยายตัวต่อเนื่อง เพื่อให้เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับสากลได้

นอกจากนี้ ส.อ.ท. ได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน ในการขับเคลื่อนแนวทางการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐด้วยดีมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ดำเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับสมาชิก ส.อ.ท. เพื่อผลักดันและจูงใจให้มีการอนุรักษ์พลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรม

รวมถึงส่งเสริมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มมูลค่า ตลอดจนส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อมุ่งเน้นการผลิตที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมการอบรมและสัมมนา รวมทั้งผลิตสื่อเผยแพร่ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม

ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาเราจะได้ยินเรื่องการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ที่หมายถึง การพยายามทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เป็นกลาง ให้มีความสมดุลกันระหว่างการปล่อยและการดูดกลับด้วยการอนุรักษ์และปลูกป่าไม้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่มาจากการผลิตการใช้พลังงานในทุกภาคส่วน

สิ่งที่กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญและดำเนินการอยู่ คือ การนำแผนไปสู่การปฏิบัติด้วยการ “รื้อ ลด ปลด สร้าง” เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมให้สามารถปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนก็สามารถประยุกต์แนวคิดดังกล่าวได้เช่นกัน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยคาร์บอนจากดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับการดูดกลับด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวหรือการชดเชยคาร์บอน จัดการสภาวะปัจจุบันที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่าน

โดย “รื้อ” ระบบการผลิตการใช้พลังงานเก่าที่ล้าสมัยไร้ประสิทธิภาพออกไป ซึ่งจะเป็นการ “ลด” การใช้พลังงานของตนเองไปโดยอัตโนมัติ นั่นคือ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้มีการผลิตที่ใช้พลังงานน้อยลง แต่ได้ผลผลิตที่มากขึ้นด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพพลังงานสูง “ปลด” พันธนาการจากการพึ่งพาพลังงานจากภายนอกด้วยการผลิตพลังงานสะอาดใช้เอง ที่จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถกำหนดและควบคุมต้นทุนด้านพลังงานได้ด้วยตัวเอง

โดยเฉพาะต้นทุนด้านไฟฟ้าที่การผลิตไฟฟ้าของส่วนกลางต้องนำเข้าเชื้อเพลิง LNG จากต่างประเทศ ทำให้มีต้นทุนสูงและมีราคาผันผวนตามราคาตลาดโลก ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและกระทบต่อความอยู่รอดของภาคอุตสาหกรรม

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ

ทัพหน้า MotoGP ถึงไทย! โค้งสุดท้าย “บุรีรัมย์” สุดคึกคัก เดินหน้าเต็มระบบ

นายกฯเปิดงานบั้งไฟพญานาค ดันเทศกาลท้องถิ่นทำให้ ศก.อีสานดีขึ้น