ปราบแก๊งสแกมฯ ขว้างงูไม่พ้นคอ

ถ้าไม่จวนตัวจริง ๆ คงไม่เทกแอกชั่นขนาดนี้

แต่ถึงจะมาช้า ก็ยังดีกว่าไม่มา

ผลพวงจากความเด็ดขาดของรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ประจานเขมรสู่สายตาชาวโลกว่า กัมพูชาคือดินแดนสีดำ เมืองหลวงของแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ

เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของแก๊งสแกมเมอร์ ที่แม้แต่อำนาจรัฐเขมร ก็ยังยอมสยบอยู่แทบเท้า ส่งผลให้รัฐบาลไทยต้องรีบออกตัว ไม่ให้ถูกมองเป็นทางผ่านของแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติพวกนี้

“นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ต้องเซ็นลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

นายกฯหนู เล่นใหญ่ สวมบทเป็นประธานกรรมการชุดนี้ด้วยตัวเอง พร้อมจัดบอร์ดชุดใหญ่ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกฯ รมว.คลัง รมว.ต่างประเทศ รมว.ยุติธรรม รมว.ดีอี เป็นรองประธานกรรมการ มีกรรมการประกอบด้วย เลขาธิการนายกฯฯ ปลัดคลัง ปลัดต่างประเทศ ปลัดดีอี ปลัดมหาดไทย ปลัดยุติธรรม ผบ.ตร. เลขาธิการปปง. เลขาธิการปปท. ผู้ว่าแบงก์ชาติ เลขาธิการกสทช. เลขาธิการก.ล.ต. พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ร.ต.อเขมชาติ ประกายหงษ์มณี เป็นกรรมการ มีอธิบดี ปค. เป็นกรรมการและเลขานุการ

แถมยังโชว์ภาพขึงขังเอาจริงเอาจัง ด้วยการยกหูโทรศัพท์คุยกับ อี แช-มย็อง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในระหว่างปฏิบัติภารกิจเยือนลาว ให้การยืนยันว่า “ไทยยินดีให้ความร่วมมือกับเกาหลีใต้ เพื่อจัดการปัญหาขบวนการสแกมเมอร์ในประเทศกัมพูชา”

ในการพูดคุย นอกจากเรื่องการยกระดับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจแล้ว ประเด็นความร่วมมือในระดับภูมิภาค ก็น่าสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะ นายกฯหนู ยืนยันความพร้อมของไทย ต่อการสนับสนุนบทบาทของเกาหลีใต้ในอาเซียน พูดง่ายๆ ก็คือพร้อมจับมือกับเกาหลีใต้ ยกระดับกระชับความสัมพันธ์ในความร่วมมือทางการทหารในภูมิภาคอาเซียน

งานนี้แน่นอน จีน-เกาหลีเหนือ หูกระดิกแน่

ก่อนจะทิ้งท้ายพูดโยงความสัมพันธ์อันยาวนานกว่า 70 ปี ระหว่างไทย-เกาหลีใต้ มาตั้งแต่สมัยสงครามเกาหลี และน่าจะมีโอกาสกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค ที่มาเลเซีย และการประชุมผู้นำทางเศรษฐกิจเอเปค ที่เกาหลีใต้จะเป็นเจ้าภาพ ในช่วงเดือน พ.ย.นี้

เรื่องปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก ถึงขนาดที่สำนักอัยการสหรัฐฯ ประจำเขตนิวยอร์กตะวันออก และแผนกความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยื่นคำร้องทางแพ่ง เพื่อริบทรัพย์สินเป็นบิตคอยน์มูลค่าประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.88 ล้านล้านบาท) ที่เชื่อว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกง และการฟอกเงินของ เฉิน จื้อ (Chen Zhi) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า วินเซนต์

เบื้องหน้า ทำธุรกิจกลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ในกัมพูชา ระบุว่าเป็นบริษัทด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และบริการสำหรับผู้บริโภค

แต่ “โดยลับ ๆ แล้ว จำเลย (หมายถึงนายเฉิน จื้อ) และผู้บริหารระดับสูง ได้ทำให้กลุ่มปรินซ์กรุ๊ป เติบโต กลายเป็นหนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย”

และคำร้องดังกล่าวยังถือเป็นการดำเนินการริบทรัพย์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯด้วย

เอาเฉพาะแค่เครือข่ายของ เฉิน จื้อ หรือ วินเซนต์ กับ ก๊ก อาน (Kok An) ที่เชื่อมโยง เบน สมิท ทั้งหมดคือเครือข่ายขุมทรัพย์เทาดำของ ฮุน เซน และพวก

ก็ไม่รู้ว่าการปราบแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติครั้งนี้ รัฐบาลจะขว้างงูให้พ้นคอได้หรือเปล่า

เพราะในบัญชีดำสหรัฐฯ เชื่อมโยงมาไทยด้วย เครือข่ายมันโยงใยนุงนังพัวพันกันไปหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มการเมือง กลุ่มทุนใหญ่ กลุ่มธุรกิจอสังหา รวมถึงกลุ่มแบ็กอัพอำนาจ

สุดท้ายก็ลูบหน้าปะจมูกเหมือนเดิม..


📰 อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ The Mainstream

“เกาหลีใต้” เหมาเครื่องบิน รับพลเมือง 64 คนกลับ หลังพัวพันแก๊งคอลเซ็นเตอร์

CPF เลิกจ้างแล้ว! พนักงานขวางรถฉุกเฉิน ทำผู้ป่วยเสียชีวิต