หน่วยงาน NACW ของกัมพูชาอ้างพบสารเคมีตกค้างกว่า 70 ชนิดจากการปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา เรียกร้องเงินทุนจากนานาชาติช่วยกำจัดและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วน
วันที่ 20 ตุลาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หน่วยงานแห่งชาติเพื่อการห้ามอาวุธเคมี นิวเคลียร์ ชีวภาพ และรังสี (NACW) ของกัมพูชาออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน เพื่อดำเนินการกำจัด สารเคมีตกค้างจากอาวุธสงคราม ที่อ้างว่ามีต้นตอมาจากการปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่าพบสารเคมีอันตรายกว่า 70 ชนิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
กัมพูชาอ้างอาวุธจากไทยทิ้งสารพิษตกค้างกว่า 70 ชนิด
พลเอกพร นรา เลขาธิการ NACW ของกัมพูชา เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาที่เกิดขึ้นนาน 5 วันเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หน่วยงานได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบพื้นที่ต้องสงสัยว่ามีการปนเปื้อนจากอาวุธเคมี
ผลการตรวจสอบเบื้องต้นระบุว่า พบสารเคมีมากกว่า 70 ชนิด ที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และระบบนิเวศในพื้นที่ โดย NACW อ้างว่าการปนเปื้อนดังกล่าวเกิดจาก การใช้อาวุธหลากหลายประเภทโดยฝ่ายไทย รวมถึงกระสุนฟอสฟอรัสขาว ซึ่งเป็นชนิดหนึ่งของอาวุธที่มักก่อให้เกิดการเผาไหม้และปล่อยควันพิษที่อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ
ขอเงินสนับสนุนจากนานาชาติกำจัดสารเคมี
เลขาธิการ NACW ระบุว่า การกำจัดสารเคมีที่ตรวจพบจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งเกินขีดความสามารถของกัมพูชาในปัจจุบัน พร้อมเรียกร้องให้ประเทศพันธมิตรและองค์กรระหว่างประเทศ ให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนและเทคนิค ในการดำเนินการทำลายสารพิษดังกล่าว
“เราไม่ได้พบเพียงทุ่นระเบิดเท่านั้น แต่ยังตรวจพบสารเคมีอันตรายหลายชนิดที่ต้องใช้เครื่องมือขั้นสูงและงบประมาณจำนวนมากในการกำจัด งานนี้ไม่สามารถทำได้โดยทีมทั่วไป” พลเอกพร นรา กล่าว
บูรณาการการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมกับโครงการมนุษยธรรม
นอกจากนี้ NACW ยังเสนอให้บูรณาการโครงการทำความสะอาดสารเคมีตกค้างเข้ากับแผนฟื้นฟูด้านมนุษยธรรมที่กัมพูชาดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะโครงการภายใต้ สำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดและช่วยเหลือเหยื่อของกัมพูชา เพื่อให้การฟื้นฟูพื้นที่ชายแดนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น
หน่วยงานยังเน้นว่าความช่วยเหลือจากนานาชาติจะช่วยลดความเสี่ยงต่อชุมชนชายแดน รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลกัมพูชาในการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน