นายกฯ อนุทินสั่งใช้ยาแรงปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ถอนสัญชาติผู้ถือสองสัญชาติที่มีเอี่ยว ปัดข่าวตั้งวรภัคคุมชุดล่ามิจฉาชีพ ย้ำใครผิดไม่เลี้ยง
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล สั่งเข้มมาตรการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ ลั่นไม่ดูชื่อหรือตำแหน่ง หากมีส่วนเกี่ยวข้องต้องดำเนินคดีทุกคน ยืนยันยังไม่มีคำสั่งตั้ง นายวรภัค ธันยาวงษ์ นั่งหัวหน้าชุดปราบสแกมเมอร์ พร้อมสั่งใช้ “ยาแรง” ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและถอนสัญชาติผู้ถือสองสัญชาติที่มีเอี่ยวโดยไม่ต้องรอคำสั่ง
นายกฯ สั่งเข้ม ตัดสัญญาณ-ถอนสัญชาติ ดำเนินคดีทุกคนที่เกี่ยวข้อง
ที่ประชุมดังกล่าวถูกจัดขึ้นภายใต้การรักษาความปลอดภัยขั้นสูง โดยนายกรัฐมนตรีสั่งให้ผู้เข้าร่วมประชุมนำโทรศัพท์มือถือไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่นอกห้อง เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลลับ การประชุมมีเพียงรัฐมนตรีและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ภายหลังการประชุม นายอนุทิน แถลงต่อสื่อมวลชนว่า รัฐบาลถือว่าปัญหา แก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ เป็น “อาชญากรรมระดับโลก” และจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 21 ตุลาคมนี้ เพื่อยกระดับให้เป็น “วาระแห่งชาติ” พร้อมย้ำว่า หน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมมือกันดำเนินคดี ยึดทรัพย์ และจับกุมผู้กระทำผิดมูลค่าหมื่นล้านบาทแล้ว แต่ยังขาดการบูรณาการด้านการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง
นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้มีมติ “ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต” ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องทันที โดยไม่ต้องรออนุมัติจากที่ประชุม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และสามารถ “ตัดไฟฟ้า” ได้ด้วย หากพบว่าเป็นการสนับสนุนการกระทำผิด พร้อมระบุว่า “หน่วยงานใดพบการเอื้อให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์ ต้องระงับการสนับสนุนทุกช่องทางได้ทันที ถือเป็นยาแรงที่ใช้ได้แล้วในวันนี้”
ปัดตั้ง “วรภัค” คุมชุดล่าคอลเซ็นเตอร์ ย้ำยังไม่มีรายชื่อเสนอเข้า ครม.
จากกระแสข่าวที่ระบุว่ามีการเสนอชื่อ นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้เป็นหัวหน้าชุดตรวจสอบเส้นทางการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายอนุทิน ยืนยันว่า “ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งใดๆ ทั้งสิ้น” โดยชี้ว่า การตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อติดตามเส้นทางการเงินอยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อ โดยมี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.), กระทรวงยุติธรรม, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และ กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการข้อมูล
นายกรัฐมนตรีระบุว่า รายชื่อทั้งหมดจะต้องผ่านการพิจารณาจากตนเองก่อนประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ โดยมี อธิบดีกรมการปกครอง ทำหน้าที่เลขานุการรวบรวมรายชื่อเพื่อนำเสนอ พร้อมยืนยันว่า “ยังไม่มีชื่อใครเลยในตอนนี้”
ไม่สนชื่อนักการเมือง ยันผิดคือผิด ไม่ดูตำแหน่ง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข่าวลือว่านักการเมืองบางรายเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ นายอนุทิน กล่าวชัดว่า “ผมไม่ดูชื่อครับ ใครผิดก็ต้องดำเนินการ” พร้อมระบุว่า ข่าวที่อ้างว่านักการเมืองมีเอี่ยวถูกปฏิเสธโดย สถานเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ ประจำประเทศไทย แล้ว อย่างไรก็ตาม หากพบหลักฐานหรือเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงถึงผู้ใด ก็จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ปปง. และ ตำรวจ ดำเนินการตรวจสอบทันที
เผยมีผู้ถือสองสัญชาติเกี่ยวข้อง สั่งถอนสัญชาติทันที
นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในที่ประชุมมีข้อมูลสำคัญที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน โดยพบว่ามีผู้กระทำความผิดบางรายถือ “สองสัญชาติ” และยังคงใช้สิทธิของคนไทยในการดำเนินธุรกิจในประเทศ ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย นายอนุทินจึงสั่งการให้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ อธิบดีกรมการปกครอง ดำเนินการถอนสัญชาติไทยของผู้ที่ถือสัญชาติอื่นควบคู่ไปด้วยทันที พร้อมย้ำว่า “นี่ถือเป็นยาแรง และถือว่าผิดโดยไม่ต้องพิสูจน์พฤติกรรมอื่นเพิ่มเติม”


