ในการขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์งาน “ปลดล็อคอนาคตประเทศไทยสู้วิกฤตโลก” (Unlock Thailand’s Future) เมื่อวันที่17 ก.ค. ที่ผ่านมา อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้พูดถึงประเด็นที่น่าสนใจ ด้วยการตั้งคำถามกลางงานว่า “เราจะถมทะเลกันอีกกี่แห่ง? ถมแล้วคุ้มไหม? มีแผนแม่บทรองรับหรือยัง?” ประโยคดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นการพุ่งเป้าไปยังโครงการถมทะเลในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ที่กำลังถูกผลักดันโดยรัฐบาลปัจจุบัน
ถมทะเลสร้างเศรษฐกิจใหม่?
แนวคิดการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่ ถูกเสนอภายใต้กรอบนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่มุ่งเน้นให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูง การคมนาคม และอุตสาหกรรมอนาคต หน่วยงานอย่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้เปิดเผยว่าโครงการนี้อยู่ในระยะการศึกษาผลกระทบ และกำลังอยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
ฝ่ายสนับสนุนมองว่า พื้นที่ชายฝั่งไทยกำลังเผชิญข้อจำกัดด้านพื้นที่ใช้สอย หากสามารถเพิ่มที่ดินผ่านการถมทะเลได้อย่างมีระบบ จะช่วยให้ไทยก้าวทันการขยายตัวของเมือง และการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการเป็นฐานใหม่ของนิคมอุตสาหกรรมคลัสเตอร์ใหม่ เช่น อุตสาหกรรมชีวภาพและ AI
บทเรียนจากมาบตาพุด
มาบตาพุด จังหวัดระยอง คือจุดที่ภาครัฐเคยทดลองโครงการถมทะเลเพื่อขยายเขตอุตสาหกรรมมาแล้วในอดีต การถมทะเลในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แม้จะสามารถสร้างท่าเรือน้ำลึกและเขตส่งออกได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับทิ้งปัญหาเชิงระบบไว้มากมาย ทั้งการทรุดตัวของพื้นที่ถมใหม่ การกัดเซาะชายฝั่งในแนวใกล้เคียง และผลกระทบต่อกระแสน้ำในอ่าวไทย
รายงานด้านสิ่งแวดล้อมระบุว่า การถมทะเลโดยขาดการประเมินผลกระทบทางนิเวศอย่างละเอียด เป็นเหตุให้แนวปะการังบางส่วนในอ่าวระยองถูกกลบทับ และประชาชนในพื้นที่ประมงพื้นบ้านได้รับผลกระทบถ้วนหน้า ทั้งรายได้ที่ลดลง และแหล่งทำกินที่หายไป ขณะที่การแก้ไขในภายหลังกลับยากเย็นและใช้เงินจำนวนมากกว่าที่คาดไว้หลายเท่า

บทเรียนจากมาบตาพุดจึงกลายเป็นสัญญาณเตือนว่า การถมทะเลไม่ใช่แค่เรื่องพื้นที่เพิ่มขึ้น แต่คือการเปลี่ยนโฉมระบบนิเวศแบบถาวร ที่อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง หากไม่ได้มีการวางแผนและรับฟังเสียงของผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน
ความท้าทายด้านกฎหมายและความมั่นคง
นอกจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว นักกฎหมายรัฐธรรมนูญยังชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ที่ถมทะเลขึ้นใหม่นั้นไม่อยู่ในขอบเขตของการปกครองท้องถิ่นเดิม อาจเกิดข้อถกเถียงทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิการบริหารจัดการและการเก็บภาษี ทั้งยังมีคำถามว่า หากเกิดภัยพิบัติ เช่น สึนามิ หรือการกัดเซาะชายฝั่ง รัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร
ด้านหน่วยงานด้านความมั่นคงยังคงเฝ้าระวังผลกระทบในมิติเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะหากโครงการถมทะเลอยู่ใกล้แนวชายแดนทางทะเล อาจกลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศในอนาคต คล้ายกรณีพิพาททางทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บทเรียนจากต่างประเทศ กับโจทย์ใหญ่ของไทย
หลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น สิงคโปร์ และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้พัฒนาโครงการถมทะเลสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งในแง่การสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่และการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ต้องใช้เงินทุนมหาศาลและการบริหารจัดการที่มีความแม่นยำสูง พร้อมมาตรการรองรับด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด

สำหรับประเทศไทย หากต้องการก้าวสู่ระดับเดียวกัน ต้องตอบให้ได้ว่า มีแผนแม่บทที่ชัดเจนเพียงพอหรือไม่ พร้อมทั้งสามารถควบคุมความเสี่ยงรอบด้านที่อาจตามมาหรือเปล่า เพราะเมื่อถมทะเลแล้ว “แก้ไขไม่ได้ง่ายเหมือนถมดิน”