วันที่ 14 ตุลาคม 2568 – รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเปิดเสียงหลอนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบในเวทีโลก หากดำเนินการภายใต้กฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ พร้อมเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกว่า กัมพูชาเตรียมแผนการสู้รบกับไทยมานานกว่า 5 ปี ร่วมมือกับหลายประเทศเพื่อยกระดับศักยภาพทางทหาร
นักวิชาการย้ำ “ไทยไม่เสียเปรียบ” ปมเสียงหลอนชายแดน หากปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร กล่าวว่า เหตุการณ์การใช้เครื่องเสียงจากภาคประชาชนในพื้นที่ชายแดน ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยในระดับสากล เพราะการให้ภาคพลเรือนมีส่วนร่วมในความขัดแย้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ การดำเนินการทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้ ข้อตกลงและกฎหมายของไทย เพื่อป้องกันปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผลกระทบต่อพลเรือนทั้งสองฝ่าย โดยต้องบริหารจัดการให้เป็นระบบ หากเป็นพื้นที่สงครามต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร ส่วนพื้นที่ฝั่งไทยให้ตำรวจเป็นผู้นำดำเนินการตามกฎหมาย
เขาย้ำว่า รัฐบาลและสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รับรู้สถานการณ์ดังกล่าวแล้ว เพราะพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตกฎอัยการศึก จึงต้องควบคุมบทบาทของพลเรือนให้สอดคล้องกับหลักสากล เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจย้อนกลับมาสู่รัฐบาล

กัมพูชาวางแผนทางทหารนาน 5 ปี เพิ่มงบและกำลังรบด้วยการสนับสนุนจากต่างประเทศ
นักวิชาการด้านความมั่นคงรายนี้เปิดเผยว่า กัมพูชาได้เตรียมการสู้รบกับไทยมานานกว่า 5 ปี โดยร่วมมือกับ จีน รัสเซีย และประเทศพันธมิตรอื่นๆ เพื่อปฏิรูปกองทัพ เพิ่มงบประมาณด้านการทหาร และนำที่ปรึกษาต่างชาติเข้ามาบริหารจัดการ
กัมพูชามีการส่งกำลังพลไปฝึกในต่างประเทศและตั้ง กองทัพอากาศ เพื่อเสริมศักยภาพทางเรือ รวมถึงได้รับเรือรบใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมพร้อมเชิงยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง จนสามารถยึดพื้นที่แนวชายแดนบางส่วนของไทยไว้ได้ และสร้างความท้าทายต่อความมั่นคงของไทย
รศ.ดร.ปณิธาน ระบุว่า การวางกำลังของกัมพูชาลักษณะนี้ ขัดต่อกฎกติกาอาเซียน และสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงในภูมิภาคที่ต้องเร่งแก้ไขผ่านช่องทางการทูต
ชี้รายได้หลักกัมพูชามาจากเศรษฐกิจสีเทา–แก๊งสแกมเมอร์ ไทยควรใช้เป็นเงื่อนไขเจรจา
รศ.ดร.ปณิธาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหา แก๊งสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ ในกัมพูชาเป็นช่องทางรายได้สำคัญของประเทศ ซึ่งหากถูกตัดขาดจะกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลกัมพูชาอย่างรุนแรง
เขาเสนอว่า ไทยสามารถใช้ประเด็นนี้เป็น เครื่องต่อรองในการเจรจากับสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร เพื่อให้กดดันกัมพูชาให้ยุติความขัดแย้ง โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ และยุโรปได้เริ่มใช้มาตรการคว่ำบาตรบางส่วนแล้ว ขณะที่เกาหลีใต้เองก็ได้รับผลกระทบจากเหตุลักพาตัวพลเมืองในพื้นที่ชายแดน ซึ่งควรเป็นจุดร่วมของความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค
ความสัมพันธ์ไทย–จีน แปรปรวนจากบทบาทจีนหนุนกัมพูชา
เมื่อถูกถามถึงท่าทีของจีน รศ.ดร.ปณิธาน ระบุว่า ปัจจุบันไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากอาวุธที่จีนส่งมอบให้กัมพูชา เพราะมีพลเรือนไทยเสียชีวิตและบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่า “การป้องกันประเทศ”
เขามองว่า ความสัมพันธ์ไทย–จีนอาจเกิดความแปรปรวนระยะสั้น แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาฟื้นตัว แต่จีนยังคงมีพันธะกับกัมพูชาและไม่สามารถละทิ้งได้ อย่างไรก็ตาม ไทยควรใช้ช่องทางการทูตเพื่อผลักดันให้จีน มีบทบาทในการกดดันกัมพูชาให้ยุติความรุนแรง มากกว่าการสนับสนุนทางทหาร