สิงคโปร์สปีดหนีคู่แข่ง ไม่ยอมให้ประเทศไหนแย่ง “ศูนย์กลางการบิน” เริ่มสร้างอาคารผู้โดยสารขนาดใหญ่ในสนามบินชางงี ภายในครึ่งแรกของปี 2025 รองรับผู้โดยสารเพิ่มปีละ 50 ล้านคน เตรียมแผนเพิ่มความได้เปรียบท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
เดอะ สเตรตส์ ไทม์ส (The Straits Times) สื่อสิงคโปร์รายงานเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2024 ว่า สิงคโปร์จะเริ่มก่อสร้างอาคารผู้โดยสารขนาดใหญ่แห่งใหม่ ซึ่งเป็นอาคารผู้โดยสารที่ 5 (T5) ในสนามบินชางงี ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของศูนย์กลางการบินแห่งนี้ให้ได้เพิ่มขึ้นปีละ 50 ล้านคน จากปัจจุบันที่รองรับได้ปีละ 90 ล้านคน
รัฐบาลสิงคโปร์ตั้งเป้าว่าในช่วงกลางทศวรรษ 2030 เมื่ออาคารผู้โดยสารขนาดใหญ่แห่งใหม่นี้เปิดให้บริการ สิงคโปร์จะสามารถเชื่อมต่อทางอากาศกับเมืองต่าง ๆ ได้มากกว่า 200 เมืองทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีการเชื่อมต่อเกือบ 150 เมือง
ลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์กล่าวในงานเลี้ยงฉลองครบรอบ 40 ปี ของสำนักงานการบินพลเรือนสิงคโปร์ (Civil Aviation Authority of Singapore : CAAS) ในวันที่ 6 กันยายนว่า สิงคโปร์จะต้องเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน ท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในภาคการขนส่งทางอากาศ
นายกฯสิงคโปร์กล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ ทั้งในภูมิภาคและนอกภูมิภาคต่างลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อขยายและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสนามบินของตน เพื่อรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้น บางประเทศได้ประกาศแผนการสร้างสนามบินขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 100 ล้านคนต่อปี ดังนั้น ช่องว่าง-ระยะห่างที่สิงคโปร์นำประเทศเหล่านั้นอยู่จึงจะแคบลง
ถึงอย่างนั้นก็ตาม นายกฯสิงคโปร์บอกว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และกำลังพยายามเพิ่มความสามารถการแข่งขันของสิงคโปร์เช่นกัน โดยรัฐบาลได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรระหว่างประเทศในการทำข้อตกลงบริการทางอากาศเพิ่มเติม เพื่อให้สายการบินสามารถเพิ่มเที่ยวบินระหว่างสิงคโปร์และประเทศอื่น ๆ ได้มากขึ้น
ในสุนทรพจน์ที่กล่าวกับคนในอุตสาหกรรมการบิน นายกรัฐมนตรีหว่อง ได้บอกแนวทางหลายประการที่จะทำให้สิงคโปร์ยังสามารถก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งต่อไปได้ อย่างเช่น แนวทางการยกระดับนวัตกรรม ซึ่งมีการกล่าวถึงการบริหารจัดการน่านฟ้าเพื่อลดเวลาบินและการใช้เชื้อเพลิง รวมถึงการทดลองใช้รถขนสัมภาระอัตโนมัติในสนามบินชางงี นอกจากนั้น ยังกล่าวถึงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการการบินระหว่างประเทศแห่งใหม่ที่จะปรับปรุงพัฒนาวิธีการบริหารจัดการเครื่องบิน ผู้โดยสาร และสัมภาระให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายกฯสิงคโปร์ได้อ้างถึงคาดการณ์ที่ว่า จำนวนผู้โดยสารทางอากาศทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2040 และกล่าวว่า ภาคการบินของสิงคโปร์จะต้องเติบโตอย่างยั่งยืน และมีส่วนสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนั้น ผู้นำสิงคโปร์กล่าวว่า สิงคโปร์จะต้องมีส่วนสนับสนุนภาคการบินระหว่างประเทศอย่างแข็งขันต่อไป โดยชี้ให้เห็นถึงการทุ่มทุน 120 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 3,100 ล้านบาท) เพื่ออัพเกรด สถาบันการบินสิงคโปร์ (Singapore Aviation Academy) ซึ่งช่วยให้สามารถฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านการบินได้มากกว่า 160,000 คน จากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก