ขณะนี้ไม่มีตารางนัดหมายดีเบตเพิ่มเติมระหว่างแคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จึงทำให้การไปออกรายการสัมภาษณ์ต่างๆ เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการเป็นข่าวในสื่อ เมื่อเหลืออีก 4 สัปดาห์ นับถอยหลังถึงการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้

หลายสัปดาห์ของการตกเป็นเป้าถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันและสื่อ ว่า คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีและตัวแทนพรรคเดโมแครตไม่ต้องการนั่งตอบคำถามแบบตัวต่อตัวในรายการสัมภาษณ์สุดหิน สื่อถล่มอย่างดุเดือดว่า แฮร์ริสเน้นออกรายการสัมภาษณ์ที่เป็นมิตรกว่ารวมถึงคอล เฮอร์ แดดดี้ (Call Her Daddy),เดอะ วิว (The View), เดอะ เลทโชว์ วิธ สตีเฟน โคลเบิร์ต (The Late Show with Stephen Colbert) ตลอดจนเดอะ โฮเวิร์ด สเติร์นโชว์ (The Howard Stern Show)

แต่แล้วเธอตัดสินใจออกรายการดัง 60 มินิทส์ (60 Minutes) ของช่องซีบีเอส (CBS) ซึ่งเป็นรายการข่าวเชิงลึกที่เน้นการถกเถียง ซึ่งมีผู้ชมมากที่สุดของประเทศ และออกอากาศช่วงไพรม์ไทม์ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่น โดยในภาพรวม แฮร์ริสถูกกดดันให้เปิดเผยรายละเอียดมากขึ้น รวมถึงในด้านเศรษฐกิจ 

เอ็นพีอาร์ (NPR) สถานีวิทยุกระจายเสียงสาธารณะแห่งชาติของสหรัฐหยิบประเด็นนี้มาเผยแพร่ แฮร์ริสถูกตั้งคำถามที่กดดันว่า เธอจะหาเงินมาชดเชยตามสัญญาทางเศรษฐกิจที่ได้หาเสียงไว้อย่างการขยายเครดิตภาษีเด็กและค่าลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกและธุรกิจใหม่ได้อย่างไร ซึ่งรายงานชิ้นใหม่จาก คณะกรรมการเพื่องบประมาณของรัฐบาลกลางที่มีความรับผิดชอบ (Committee for a Responsible Federal Budget) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ให้ข้อมูลว่า ข้อเสนอทางเศรษฐกิจของแฮร์ริสจะทำให้ต้องใช้งบประมาณกลางราว 3.5 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ราว 117 ล้านล้านบาท)  แฮร์ริสกล่าวตอบว่า เธอจะชดเชยสิ่งนั้นโดยการขึ้นภาษีบริษัทและคนอเมริกันที่มีรายได้สูงที่สุด

คำตอบของเธอทำให้ผู้สัมภาษณ์ โต้กลับโดยกล่าวว่า เรากำลังรับมือกับโลกแห่งความเป็นจริง ส่วนแฮร์ริสกล่าวโต้ เธอเชื่อว่า ผู้นำสส.ในรัฐสภาพร้อมที่จะฟังเธอเป็นการส่วนตัว

หัวข้อคำถามสัมภาษณ์อื่นๆ ที่น่าสนใจ  อาทิ สงครามยูเครน ตัวแทนพรรคเดโมแครตยืนยัน เธอจะไม่มีการพบปะแบบตัวต่อตัวกับผู้นำรัสเซีย แฮร์ริสกล่าวว่าเธอจะไม่พบกับวลาดิมีร์ ปูติน  (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซียเพื่อเจรจาหาทางยุติสงครามในยูเครน โดยที่ไม่มีนายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelensky) ผู้นำยูเครนเข้าร่วมการเจรจาเพื่อสันติภาพและกำหนดอนาคตยูเครน นอกจากนี้ รองประธานาธิบดีเลี่ยงที่จะตอบว่า เธอจะสนับสนุนความพยายามของยูเครนในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (NATO) หรือไม่ โดยกล่าวว่า เธอจะจัดการ หากและเมื่อถึงจุดนั้น 

แฮร์ริสขณะตอบคำถามในหัวข้อสงครามยูเครน (ภาพจากคลิปวิดีโอของ CBS)

แฮร์ริสยังถูกกดดันให้เธอเคลียร์ชัดๆ กันไปเลยเกี่ยวกับจุดยืนด้านนโยบายคนเข้าเมือง แฮร์ริสถูกถามว่าเหตุใดรัฐบาลไบเดนจึงไม่ดำเนินการปราบปรามผู้อพยพที่ผิดกฎหมายให้เร็วกว่านี้ ซึ่งทรัมป์และแคนดิเดตรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ วุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอ หาเสียงโจมตีในประเด็นนี้ซ้ำหลายครั้ง แฮร์ริสกล่าวว่า การข้ามแดนที่ผิดกฎหมายลดลงครึ่งหนึ่ง และบอกให้รัฐสภาต้องดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้ได้จริงๆ

ซีเอ็นเอ็น (CNN) รายงานว่า ทรัมป์ถอนตัวออกจากการให้สัมภาษณ์ในรายการนี้ แม้หลังจากที่ทีมหาเสียงตกลงและนัดหมายเรื่องสถานที่กันเสร็จแล้ว อ้างอิงตามการประกาศของผู้สื่อข่าวช่องซีบีเอส ซึ่งได้แจ้งการถอนตัวของทรัมป์ในคืนวันจันทร์ช่วงเริ่มต้นการออกอากาศรายการ 60 Minutes  แต่นายสตีเวน เช็ง  โฆษกส่วนตัวของทรัมป์กล่าวตอบโต้ว่าเป็น “ข่าวปลอม”

ย้อนไปเมื่อเดือนตุลาคม ในปี 2020 ทรัมป์ไปออกรายการนี้ โดยในครั้งนั้น เลสลีย์ สตาห์ล ผู้สื่อข่าวของรายการเป็นผู้สัมภาษณ์ และทรัมป์ยุติการสัมภาษณ์อย่างกะทันหัน เมื่อเขาปฏิเสธคำถามของสตาห์ล โดยทรัมป์กล่าวกับนักข่าวในรัฐวิสคอนซินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขาต้องการคำขอโทษ สำหรับการสัมภาษณ์ครั้งนั้น ก่อนที่จะยอมนั่งลงเพื่อสัมภาษณ์ในรายการนี้อีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า บุคคลที่มีชื่อเสียงในหลากหลายวงการต่างเคยมาตอบคำถามสัมภาษณ์ในประเด็นร้อนของรายการนี้ในซีซั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบารัก โอบามา (Barack Obama) ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น วลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซีย มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบีย (MBS) พระราชทานสัมภาษณ์รายการนี้ หลังเกิดกรณีการสังหารจามัล คาช็อกกี (Jamal Khashoggi) นักข่าวชาวซาอุฯ ตลอดจนคิลเลียน เมอร์ฟี (Cillian Murphy) นักแสดงนำจากภาพยนตร์ออปเพนไฮเมอร์ (Oppenheimer) ซึ่งคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมปี 2024

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ