อินโดนีเซียเจรจาภาษีทรัมป์สำเร็จ เหลือภาษีนำเข้า 19%

อินโดนีเซียประสบความสำเร็จในการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ หลังถูกขู่เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 32% โดยบรรลุข้อตกลงลดภาษีเหลือ 19% เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ทำให้กลายเป็นประเทศที่สองในภูมิภาคอาเซียน ต่อจากเวียดนาม ที่สามารถตกลงเงื่อนไขการค้าภายใต้ยุทธศาสตร์ภาษี “อเมริกาต้องมาก่อน” ของผู้นำสหรัฐฯ ได้สำเร็จ

หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบายรีดภาษีนำเข้าในอัตราสูงกับประเทศคู่ค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซียถือเป็นหนึ่งในชาติที่ถูกจับตามองว่าจะเป็น “เหยื่อภาษีถัดไป” ต่อจากจีน เวียดนาม และไทย แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลอินโดนีเซียสามารถตกลงกับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ลดอัตราภาษีนำเข้าลงเหลือ 19% พร้อมทำข้อตกลงซื้อสินค้าอเมริกันจำนวนมหาศาล

ข้อตกลงครั้งนี้รวมถึงการที่อินโดนีเซียยินยอมซื้อ พลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์, ผลผลิตเกษตรอีก 4,500 ล้านดอลลาร์ และ เครื่องบินโบอิงกว่า 50 ลำ เพื่อตอบแทนนโยบายผ่อนปรนด้านภาษี ซึ่งถือเป็นการเปิดตลาดในลักษณะ “แลกเปลี่ยนผลประโยชน์” ภายใต้แรงกดดันของการเมืองระหว่างประเทศ

เวียดนาม-อินโดนีเซีย ประสบความสำเร็จ ขณะที่ไทยยังไม่คืบหน้า

อินโดนีเซียกลายเป็น ประเทศที่สองในอาเซียน ต่อจากเวียดนาม ที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในบริบทสงครามภาษีครั้งใหม่ที่มีเป้าหมายต่อเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเจรจาของทั้งสองประเทศแสดงให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมและการต่อรองที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีท่าทีชัดเจนหรือแถลงการณ์เกี่ยวกับความคืบหน้าการเจรจากับสหรัฐฯ

แหล่งข่าวจาก สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เผยว่า ประเทศไทยยังอยู่ในขั้นตอน “พิจารณาข้อมูล” และยังไม่ได้เปิดโต๊ะเจรจาอย่างเป็นทางการกับฝ่ายสหรัฐฯ แม้จะมีการประเมินว่าไทยอาจถูกเก็บภาษีสูงถึง 36% ในกรณีเลวร้ายที่สุดหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้

จับตาผลกระทบต่อไทย หากยังไร้ข้อตกลง

แม้ข้อตกลงอินโดนีเซียจะส่งผลดีในระยะสั้นต่อการคงเสถียรภาพของอุตสาหกรรมส่งออก แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนต่อ ประเทศที่ยังไม่มีข้อตกลงอย่างไทย ว่าความเสี่ยงในการถูกเก็บภาษีสูงขึ้นเป็นจริงมากขึ้นทุกขณะ หากยังไม่มีมาตรการตอบโต้หรือแนวทางเจรจาที่ชัดเจนในระดับรัฐบาล

ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศของ มหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย วิเคราะห์ว่า ความยืดหยุ่นในการเปิดตลาดแลกภาษี เป็นทางเลือกที่อินโดนีเซียยอมรับเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ส่งออกหลัก เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ ยานยนต์ และสินค้าเกษตร ในขณะที่ไทยยังมีข้อจำกัดด้านนโยบายและการประสานงานระหว่างหน่วยงาน ซึ่งอาจทำให้เสียเปรียบในการเจรจาครั้งนี้

ยื้อไม่อยู่ ก็ต้องยุบ

ครึ่งปีผ่านไป ท่องเที่ยวไทยยังทรุด นักท่องเที่ยวลดลงกว่า 5.6%