วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “เชื่อมั่นประเทศไทย” ในงานสัมมนา Matichon Leadership Forum 2025 โดยประกาศแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมตั้งเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2568 ที่ 3% แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะยังเผชิญกับความท้าทายจากการขาดแคลนสภาพคล่องและความฝืดเคืองในกลุ่มเอสเอ็มอี

เศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัว 2.5% มากกว่าคาด
ในช่วงการพูดถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2567 น.ส.แพทองธารกล่าวว่าเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัว 2.5% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2% โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจคือการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากนโยบายฟรีวีซ่าในหลายประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การใช้จ่ายของประชาชนและการลงทุนจากภาคเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตดังกล่าว โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างสะพานและโครงการก่อสร้างต่างๆ ซึ่งช่วยสร้างงานและกระตุ้นการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ
เป้าหมายจีดีพีปี 2568 เติบโต 3% ผ่านการลงทุนจากภาคเอกชน
สำหรับปี 2568 นายกรัฐมนตรีตั้งเป้าหมายการเติบโตของจีดีพีที่ 3% โดยมีแหล่งขับเคลื่อนสำคัญจากการลงทุนของภาคเอกชนและการใช้จ่ายของประชาชนที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาครัฐจะสนับสนุนการลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับประชาชน รวมถึงการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ความท้าทายในระบบเศรษฐกิจและการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์
แม้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณบวกจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ แต่ยังคงมีปัญหาในด้านสภาพคล่อง โดยเฉพาะในกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย แต่กลับพบว่าไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้มากนัก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจยังไม่เพียงพอ ธนาคารพาณิชย์ยังปล่อยสินเชื่อไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยง ซึ่งส่งผลให้เกิดความฝืดเคืองในภาคธุรกิจที่ไม่สามารถขยายตัวได้มากนัก
การพัฒนาการลงทุนจากต่างประเทศ
เพื่อเสริมสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยการทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งสามารถเพิ่มยอดการลงทุนได้ 35% หรือประมาณ 1.14 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 5% ของจีดีพี

โครงการแลนด์บริดจ์และการพัฒนาสินค้าผลไม้ไทย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเป็นโครงการที่มีจุดประสงค์เพื่อลดเวลาการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน โดยเฉพาะสินค้าผลไม้ไทยที่สามารถประหยัดเวลาได้ถึง 4 วันและลดต้นทุนได้ถึง 15% ซึ่งถือเป็นโอกาสที่สำคัญในการเพิ่มมูลค่าผลไม้ไทยในตลาดโลก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แม้จะมีเสียงคัดค้านจากบางฝ่ายเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์ แต่รัฐบาลยืนยันว่าจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป เพราะเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าอย่างยั่งยืน
การจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ในส่วนของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการคุกคามของประชาชน นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความพยายามในการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีการหลอกลวงประชาชนจำนวนมาก ซึ่งทำให้มีการสูญเสียทั้งเงินและชีวิต นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่ารัฐบาลได้ร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยการตัดไฟฟ้าไปยังฝั่งเมียนมาทำให้สามารถช่วยเหลือเหยื่อได้มากขึ้น
นายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปในการแก้ปัญหาต่างๆ และผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง

ข้อมูล/ภาพ : อมรินทร์