วันที่ 8 เมษายน 2568 รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และประธานอนุกรรมการด้านพลังงาน สภาองค์กรของผู้บริโภค โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กรณีค่าการตลาดน้ำมันที่พุ่งสูงถึงลิตรละ 5 บาท ทั้งที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เธอชี้ว่าหากรัฐบาลควบคุมค่าการตลาดให้อยู่ในกรอบที่กระทรวงพลังงานเคยประกาศไว้ไม่เกินลิตรละ 2 บาท ราคาขายปลีกจะสามารถลดลงได้อีก 2–3 บาทต่อลิตร แต่รัฐบาลกลับปล่อยให้ผู้ค้าน้ำมันทำกำไรส่วนต่างเต็มมือ ขณะที่ประชาชนได้รับการลดราคาน้ำมันเพียง 50 สตางค์
รสนาเปิดเผยข้อมูลว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ ณ วันที่ 8 เมษายน อยู่ที่ 64.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คิดเป็นเงินบาทประมาณลิตรละ 14 บาท เมื่อนำค่าการกลั่นที่ควรอยู่ที่ประมาณ 1.50 บาทมารวมกัน ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นควรไม่เกิน 15.50 บาทต่อลิตร แต่ราคาน้ำมันเบนซินในสถานีบริการกลับยังสูงถึง 41.44 บาท ส่วนแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ 32–33 บาทต่อหนึ่งลิตร ซึ่งสูงกว่าต้นทุนจริงเกือบสองเท่า
เธอระบุว่า การปล่อยให้ค่าการตลาดสูงถึงลิตรละ 5 บาทโดยไม่มีการควบคุมสะท้อนถึงความล้มเหลวในการกำกับโครงสร้างราคาพลังงานอย่างสิ้นเชิง พร้อมตั้งคำถามตรงไปยังนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานว่า รัฐบาลจะดำเนินการอย่างจริงจังเมื่อไร หรือจะมัวเสียเวลากับการออกกฎหมายเพื่อศึกษาต้นทุน ในขณะที่การควบคุมค่าการตลาดขั้นพื้นฐานยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
เธอยังย้อนไปถึงคำสัญญาของพรรคเพื่อไทยช่วงหาเสียงว่า จะลดราคาพลังงานให้เป็นธรรม ซึ่งผ่านมาแล้วสองปี นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ยังไม่มีมาตรการใดที่สะท้อนถึงความตั้งใจจริงในการดำเนินนโยบายดังกล่าว เธอตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลกลับเลือกเดินหน้าเรื่องอื่นที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะในช่วงเลือกตั้ง เช่น การผลักดันบ่อนคาสิโนและการพนันออนไลน์ ซึ่งขัดแย้งกับหลักคุณธรรมและความโปร่งใสของการบริหารประเทศ
รสนาเตือนว่า นโยบายพลังงานที่ควรเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ กลับถูกลดบทบาทให้กลายเป็นเพียงเครื่องมือในการหาเสียง และเมื่อได้อำนาจแล้ว ก็กลับไปผลักดันเรื่องอื่นที่มีความอ่อนไหวต่อศีลธรรมและความมั่นคงของสังคม เธอมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับประชาชนไทยในวันนี้คือผลลัพธ์จากการเลือกตั้งที่หวังผลเฉพาะทางการเมือง ไม่ได้มีเจตจำนงเพื่อแก้ปัญหาอย่างแท้จริง
ในช่วงท้ายของโพสต์ รสนาเปรียบเทียบสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ไม่เป็นธรรมในประเทศไทยว่าเจ็บปวดกว่ากำแพงภาษีของทรัมป์ เพราะอย่างน้อยมาตรการของสหรัฐฯ ยังเป็นฝีมือของรัฐบาลต่างชาติ แต่โครงสร้างราคาพลังงานที่ประชาชนไทยเผชิญในวันนี้ คือสิ่งที่รัฐบาลไทยทำร้ายประชาชนของตัวเองอย่างเลือดเย็น พร้อมทิ้งท้ายด้วยคำถามกระแทกใจว่า “แล้วเราจะทนให้รัฐบาลแบบนี้หลอกไปอีกทำไม?”

ข้อมูล/ภาพ : thepublisherth