วันที่ 29 สิงหาคม 2568 สถานการณ์การเมืองไทยเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องสิ้นสภาพ ทำให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 กลายเป็นโจทย์การเมืองใหญ่ที่จับตา โดยหนึ่งในชื่อที่ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลใหม่คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีเสียง ส.ส. 96 เสียง และกำลังอยู่ระหว่างเจรจาหาแนวร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคภูมิใจไทยเปิดชุดนโยบายหากนายอนุทินได้รับเลือกเป็น นายกรัฐมนตรีคนต่อไป โดยตั้งเป้าหมายสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งเศรษฐกิจ สาธารณสุข เกษตรกรรม และโครงสร้างพื้นฐานภายใน 4 เดือนแรก ก่อนจะตั้งคำถามว่าโครงการเหล่านี้ทำได้จริงหรือไม่
11 นโยบายของภูมิใจไทย
- เงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท
- สำหรับประชาชนอายุ 20 ปีขึ้นไป กู้ได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน
- พักหนี้ 3 ปี ทั้งต้นและดอก
- ช่วยลดภาระหนี้สินของประชาชนโดยไม่ต้องจ่ายเงินในช่วง 3 ปี
- Landbridge อ่าวไทย–อันดามัน
- โครงการเมกะโปรเจกต์เชื่อมคมนาคมระหว่างทะเลทั้งสองฝั่ง เพื่อยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและคมนาคมอาเซียน
- ระบบรถเมล์ไฟฟ้าและขนส่งสาธารณะ
- เป้าหมายเปลี่ยนระบบขนส่งทั้งหมดเป็นไฟฟ้า พร้อมค่าบริการเริ่มต้น 10 บาท
- ศูนย์ฟอกไตฟรีทุกอำเภอ
- ขยายบริการสาธารณสุขถึงท้องถิ่นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยโรคไต
- เพิ่มค่าตอบแทน อสม. เป็น 2,000 บาท/เดือน พร้อมประกันสุขภาพ
- สนับสนุนการทำงานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
- Contract Farming / เกษตรพันธสัญญา
- ช่วยเกษตรกรรู้ราคาล่วงหน้าและรับเงินก่อนขาย เพื่อลดความเสี่ยงทางการค้า
- โซลาร์เซลล์ฟรีและพลังงานสะอาด
- ติดตั้งบนหลังคาบ้านประชาชน และส่งเสริมมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าราคาถูก พร้อมเครดิตพลังงาน 25 ปี
- การท่องเที่ยวดึงนักท่องเที่ยว 80 ล้านคน
- จัดกิจกรรมมากกว่า 300 กิจกรรมต่อปี พร้อมสร้างรายได้ 6 ล้านล้านบาทภายในปี 2570
- สวัสดิการเกษตรกรและคนฐานราก
- ลดวงจรหนี้ สนับสนุนอาชีพ และเสริมระบบเศรษฐกิจฐานราก
- เมกะโปรเจกต์พัฒนาภาคใต้ / ด้ามขวานทอง
- พัฒนาภาคใต้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ พร้อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและเมืองเศรษฐกิจพิเศษ

ทำได้ หรือ ขายฝัน?
แม้พรรคภูมิใจไทยมีเสียง ส.ส. 96 เสียง และแนวร่วมจากส.ส.พรรคไทยสร้างไทย และพรรคกล้าธรรม แต่การจัดตั้งรัฐบาลต้องอาศัยความเข้าใจและข้อตกลงทางการเมืองที่ซับซ้อน ข้อเรียกร้องจากพรรคประชาชนให้นายกรัฐมนตรียุบสภาภายใน 4 เดือน และทำประชามติ อาจเป็นดาบสองคม หากไม่สามารถบรรลุตามเป้าหมาย อาจทำให้พรรคภูมิใจไทยเสียความน่าเชื่อถือในระยะยาวได้
แม้ว่านโยบายทั้งหมดถูกออกแบบให้ครอบคลุมทุกด้าน แต่ในเชิง การบริหารราชการและการเงิน การดำเนินการภายในเวลา 4 เดือนแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับโครงการขนาดใหญ่หลายข้อ อาทิเช่น
- เงินกู้ฉุกเฉินและพักหนี้ อาจเริ่มดำเนินการได้เร็ว แต่ต้องมีระบบตรวจสอบสิทธิ์ผู้กู้และการบริหารความเสี่ยงหนี้เสีย
- โครงการขนาดใหญ่ เช่น Landbridge, ระบบรถเมล์ไฟฟ้า, ด้ามขวานทอง ถือเป็นโครงการเมกะโปรเจ็คที่ดูเหมือนจะต้องใช้เวลาหลายปีในการออกแบบ ประมูล และก่อสร้าง
- ศูนย์ฟอกไตและอสม. สามารถเริ่มให้บริการได้ แต่การกระจายทั่วประเทศและการตรวจสอบคุณสมบัติอาจใช้เวลามาก
- เกษตรพันธสัญญาและพลังงานสะอาด ต้องอาศัยความร่วมมือกับเอกชนและประชาชนจำนวนมาก ทำให้ผลลัพธ์เต็มรูปแบบอาจเกินกรอบ 4 เดือน
- โครงการท่องเที่ยวและสวัสดิการฐานราก แม้สามารถตั้งเป้าเป็นสัญลักษณ์และเริ่มดำเนินกิจกรรมบางส่วน แต่การบรรลุเป้าหมายเต็มรูปแบบยังต้องใช้ระยะยาว
ดังนั้นนโยบาย 4 เดือนของ “รัฐบาลภูมิใจไทย” หาก อนุทิน ชาญวีรกูล ได้ขึ้นนั่งตำแหน่งนายกฯ น่าจะเป็น นโยบายเชิงสัญลักษณ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและวางรากฐานการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะมาถึงหลังยุบสภา มากกว่าการผลักดันทุกโครงการสำเร็จจริง