นายกฯ ขอบคุณนักธุรกิจโลก มั่นใจไทยแลนด์ หลังยอดขอการลงทุนปีนี้สูงสุดในรอบ 10 ปี กำชับกระทรวงเศรษฐกิจเร่งกระตุ้น-ส่งเสริมการลงทุนไทยให้กลับมาคึกคัก
วันที่ 23 ตุลาคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ว่ามีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก และได้กำชับให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนการลงทุนในประเทศไทย เร่งดำเนินนโยบายและแนวทางอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน เพื่อเพิ่มศักยภาพและเพิ่มปริมาณการเข้าลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น
นายจิรายุกล่าวอีกว่า บีโอไอได้รายงานว่ามีตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 พบว่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวนมากถึง 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน)
ส่วนมูลค่าเงินลงทุนมีมากถึง 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 42 ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีประมาณ 5 แสนล้าน โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า ปัจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนในภูมิภาคนี้ และการขอรับการลงทุนครั้งนี้ถือเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเป็นอันดับ 1 มีมูลค่ากว่า 1.8 แสน
กลุ่มดิจิทัล มูลค่า 9 หมื่นกว่าล้านบาท อันดับ 3 เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนมีมูลค่าประมาณ 6.7 หมื่นล้านบาท กลุ่มเกษตรและแปรรูปอาหารมูลค่า 5.2 หมื่นล้านบาท และอันดับ 5 เป็นกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มีมูลค่าประมาณ 3.4 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ล่าสุดมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เงินลงทุนรวมกว่า 5.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 โดยประเทศที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรกคือ สิงคโปร์ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท จีน 1.1 แสนล้านบาท ฮ่องกง 6.8 หมื่นล้านบาท ไต้หวัน 4.4 หมื่นล้านบาท และญี่ปุ่น 3.5 หมื่นล้านบาท
และพบว่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก อาทิ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา 4.08 แสนล้านบาท ภาคกลาง 2.2 แสนล้านบาท ภาคเหนือ 3.5 หมื่นล้านบาท ภาคใต้ 2.5 หมื่นล้านบาท ภาคอีสาน 2.3 หมื่นล้านบาท และภาคตะวันตก 8.8 พันล้านบาท
ส่วนการขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยสนับสนุน “ผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถปรับตัว” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้นั้น มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 287 โครงการ เงินลงทุนรวม 2.7 หมื่นล้านบาท รวมทั้งการออกบัตรส่งเสริมในช่วง 9 เดือนแรกของปีมีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เงินลงทุน 6.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 % (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน)
ทั้งนี้ การออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1-3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม
“ตัวเลขการลงทุนสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและโครงสร้างพื้นฐานที่ดีของประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเดินหน้าเร่งพัฒนาระบบนิเวศและปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุน เพื่อรองรับกับสถานการณ์การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตโลก ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว” นายจิรายุกล่าว

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ