ภารกิจสำคัญของพรรคชั้นนำ ต้องมีนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาของประเทศ
ปัญหาของประเทศหลัก ๆ หนีไม่พ้น เศรษฐกิจ การเมือง เรื่องเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาปากท้อง เห็นชัดว่าเป็น “ธง” ผืนหลักของพรรคเพื่อไทย
แต่ที่ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือเรื่องการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยถูกรัฐประหารมา 2 ครั้ง 2549 และ 2557
ต้องเว้นวรรคจากอำนาจไปหลายปี ยาวสุดคือระหว่าง 2557-2562 กลับมาชนะเลือกตั้ง 2562 แต่แพ้กติกา ต้องเป็นฝ่ายค้าน 4 ปี
มาถึงเลือกตั้ง 2566 ได้ที่สองรองจากพรรคก้าวไกลก็จริง แต่ด้วยผลจากการเมือง เพื่อไทยได้จัดรัฐบาล
รัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เสนอนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนพลิกมาเป็นรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ยังเดินแนวทางเสนอแก้รัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับพรรคต่าง ๆ ที่เสนอตรงกัน ว่าจะแก้ไข หรือยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
แต่ต้องยอมรับว่า ที่เสนอและผลักดันจริงจังคือเพื่อไทยและพรรคประชาชนหรือก้าวไกลเดิม รัฐบาลเศรษฐาเสนอเรื่องแก้รัฐธรรมนูญไว้เป็น 1 ในนโยบายเร่งด่วน ส่วน น.ส.แพทองธาร แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อ 12 ก.ย. 2567 ไม่ได้กำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วน แต่ให้ความสำค้ญไว้ในเนื้อหาของคำแถลงนโยบาย
ระบุว่าการเมืองไทยเป็นความท้าทายประการที่เจ็ด ที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญกับความไร้เสถียรภาพทางการเมืองมาอย่างยาวนาน
อันเป็นผลจากการรัฐประหาร ความขัดแย้งแบ่งขั้วที่รุนแรง รวมถึงการถอดถอนรัฐบาลออกจากอำนาจในแบบที่คาดเดาไม่ได้
ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทยได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ก่อนจะยืนยันว่ารัฐบาลนี้จำเป็นจะต้องพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของทั้งคนไทยและต่างชาติ ด้วยการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ มีนิติธรรม และความโปร่งใส
โดยจะเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยยึดโยงกับประชาชนและหลักการของประชาธิปไตย สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล เคารพพหุวัฒนธรรม
เพื่อเป็นบันไดสู่การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทย ให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยมีเสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญ
อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญ 2560 ยกร่างขึ้นโดยกรรมการที่มาจากแต่งตั้งของผู้มีอำนาจ การแก้ไขทำได้ยากเย็น
ด่านหินตระหง่านยังคงเป็น สว. ซึ่งตลอด 5 ปีของ สว.ชุดแรก การเสนอแก้ไขถูกตีตกเรียบ เว้นเรื่องบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ สำหรับ สส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ ที่ผ่านการบังคับใช้
สว.ชุดแรกหมดวาระเมื่อ พ.ค. 2567 มีการ “เลือก” สว.ชุดใหม่ 200 คน” และคาดหมายว่า สว.ชุดนี้น่าจะ “เป็นมิตร” กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่ด่านหินก็ยังอยู่ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ อันเป็นขั้นตอนแรกของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านสภาผู้แทนฯ มาแล้ว สว.ชุดนี้พลิกกลับไปสนับสนุนระบบเสียงส่วนใหญ่ 2 ชั้น
ทำให้ขั้นตอนการแก้ไขส่อเค้าว่าจะยืดออกไปไม่น้อยกว่าครึ่งปี ความหวังที่ฝากไว้กับ สว.ชุดใหม่สลายไประดับหนึ่ง
เป็นสัญญาณบอกว่าภารกิจของรัฐบาลปัจจุบัน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจน่าจะมีอุปสรรคน้อยกว่าการแก้ปัญหาการเมือง ที่จะปรับปรุงโครงสร้างการเมืองประเทศ
ขณะที่ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนมีความคล่องตัวมากกว่า ในเรื่องการเมือง เรื่องการเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ที่น่าห่วงคือ ผลที่จะตามมาในวันข้างหน้า รวมถึง “การเลือกตั้ง”

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติธุรกิจ