วันที่ 3 กรกฎาคม 2568 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เปิดใจในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดถึงกรณี ส.ส. “งูเห่า” ในพรรคที่ย้ายออกเพื่อรับตำแหน่งรัฐมนตรี พร้อมตั้งคำถามถึงความชอบธรรมและจริยธรรมทางการเมือง
“ทำคลอด” กับมือ ยังถูกหักหลัง
คุณหญิงสุดารัตน์เปรียบว่าเธอเป็นผู้ “ทำคลอด” ส.ส. ที่ย้ายออกจากพรรคอื่นมาอยู่กับไทยสร้างไทย แต่กลับถูกนำชื่อพรรคไปแลกตำแหน่งรัฐมนตรีในนามพรรคไทยสร้างไทย ทำให้เธอต้องดำเนินมาตรการทางจริยธรรมกับสมาชิกกลุ่มดังกล่าว
“ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่า คนที่ดิฉันช่วยทำคลอดทางการเมือง จะกลายเป็นคนที่หักหลังประชาชนแบบนี้ การไปนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีในนามพรรคที่ตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว ยังกล้าใช้ชื่อพรรคไทยสร้างไทย มันคือการลวงประชาชน และไร้สำนึกทางจริยธรรมโดยสิ้นเชิง ดิฉันยืนยันว่าจะใช้ทุกช่องทาง ทั้งกฎหมายและการเมือง เพื่อปกป้องเกียรติของพรรค และความศรัทธาของประชาชนที่เลือกมา”
ในสัมภาษณ์เธอระบุว่า พรรคได้ยื่นเรื่องทางกฎหมายและจะใช้ความอดทนเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของสมาชิกที่ย้ายออก พร้อมย้ำว่า หากยังมีความรับผิดชอบ ควรลาออกจาก ส.ส. เพื่อรักษาความศรัทธาของประชาชน

จริยธรรมทางการเมืองที่หายไป
สุดารัตน์กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า การย้ายพรรคเพื่อผลประโยชน์เฉพาะตัว ถือเป็นการ “ทรยศประชาชน” และให้เวลา ส.ส. กลุ่มนี้เพื่อแสดงความรับผิดชอบ หากไม่ลาออกจาก ส.ส. พรรคเดิม อาจเจอการดำเนินคดีจากพรรค ขณะเดียวกัน เธอยังเปรียบเทียบว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องโบนัสตำแหน่ง แต่คือเรื่องศรัทธาและสัจจะทางการเมือง ที่ควรถูกเคารพและรักษาไว้อย่างไม่ผันแปร
คำสัมภาษณ์ของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ยังกล่าวถึง สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน โดยเปรียบเทียบกับอดีตว่าผิดหวังต่อระบบการเมืองที่เสื่อมถอยลง
“ดิฉันทำงานการเมืองมาตั้งแต่ปี 2535 ผ่านทั้งยุควิกฤตและยุคเปลี่ยนผ่านของประเทศ แต่ไม่เคยเห็นการเมืองไทยตกต่ำเท่าทุกวันนี้ นักการเมืองบางคนไม่มีอุดมการณ์ คิดแต่เรื่องตำแหน่งและผลประโยชน์ส่วนตน บ้านเมืองถึงไม่มีเสถียรภาพ เพราะขาดจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อประชาชน ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ และเปิดช่องให้ ‘งูเห่า’ กลับกลอกหักหลังประชาชนโดยไม่ละอายใจ”
เกาะติดท่าทีกรรมาธิการจริยธรรมพรรค ส่อลงโทษหนัก
พรรคไทยสร้างไทยได้ตั้งคณะกรรมการจริยธรรมเพื่อสอบสวน “ส.ส. งูเห่า” แล้ว ซึ่งมีนายโภคิน พลกุล เป็นประธานคณะกรรมการ โดยเน้นการประเมินพฤติกรรมว่าเข้าข่ายผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ หากผลการสอบสวนชี้ว่าผิดพรรคอาจพิจารณาลงโทษถอนตำแหน่ง ส.ส. นอกจากนี้ยังอาจมีการถอนออกจาก ส.ส. และให้คืนตำแหน่งรัฐมนตรีที่ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม