เปิดโผรัฐมนตรีใหม่ “ครม.อิ๊งค์ 1/2” ที่ไม่มี “นายกฯ อิ๊งค์”

วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ก่อนที่ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ระหว่างการพิจารณาคำร้องถอดถอนที่ถูกยื่นผ่าน สว. เช้าวันนี้ทำเนียบรัฐบาลได้เผยรายชื่อ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ หรือที่สื่อเรียกว่า “ครม.อิ๊งค์ 1/2” ซึ่งเป็นชุดที่ได้รับการปรับเปลี่ยนจาก “ครม.อิ๊งค์ 1” ที่ตอนนี้กลายเป็น ครม.ที่ต้องทำงานภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีนายกรัฐมนตรีตัวจริงเป็นหัวเรือใหญ่ รายชื่อรัฐมนตรีใหม่จึงเป็นที่จับตาทั้งในแง่การถ่วงดุลอำนาจภายในพรรคร่วมรัฐบาล และบทบาทของบุคคลใกล้ชิดนายกฯแพทองธาร

นายกฯ ควบ กระทรวงวัฒนธรรม คือหมากสำรอง?

นายกฯ แพทองธาร เล่นบทสองตำแหน่ง ทั้ง “นายกรัฐมนตรี” และ “รมว.วัฒนธรรม” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทั้งในแง่ของนโยบาย Soft Power และความจำเป็นทางการเมือง เพราะในขณะที่ยังไม่แน่ใจว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น หากยังยึดตำแหน่งรัฐมนตรีวัฒนธรรมไว้ ก็เท่ากับว่าตัวนายกฯ ยังมีที่ทางในคณะรัฐมนตรีเอาไว้เพื่อรักษาอำนาจของพรรคเพื่อไทยในช่วงวิกฤต

การวางนายกฯ ควบวัฒนธรรมจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรักษาอำนาจในครม. และควบคุมนโยบายด้านวัฒนธรรม สื่อสารสาธารณะ และยังง่ายกว่าในการวางบุคคลอื่นในตำแหน่งซึ่งอาจมีผลกระทบทางกฎหมาย

ครม.อิ๊งค์ ที่ไม่มี อิ๊งค์?

แม้นางสาว แพทองธาร ชินวัตร จะถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราว ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ตรวจสอบกรณีคลิปเสียงคุยกับ สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา แต่เก้าอี้สำคัญใน ครม. ชุดนี้ก็ยังอยู่ในมือบุคคลใกล้ชิดในพรรคเพื่อไทย ทั้งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่นั่งตำแหน่งรักษาการณ์นายกฯ และนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ได้นั่งตำแหน่ง มท.1 ครองกระทรวงมหาดไทย ที่ทวงคืนมาจากภูมิใจไทย

ในสายตานักวิเคราะห์การเมือง “ครม.อิ๊งค์ 1/2” จึงเป็นเหมือนรัฐบาลรักษาการที่ยังเดินตามแนวทางเดิม แต่ลดบทบาทของตัวบุคคลหลักลงชั่วคราวเพื่อหลบกระแสการตรวจสอบทางกฎหมาย นอกจากนี้ การไม่มีนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ตำแหน่ง “รองนายกฯ” ต้องสลับบทบาทชั่วคราว

ปรับ ครม. เพื่อประคองเสถียรภาพ หรือเตรียมรับศึกใหญ่?

การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ดูเผิน ๆ เป็นเพียงการสลับตำแหน่งเพื่อรักษาสมดุลของพรรคร่วมรัฐบาล แต่หากพิจารณาให้ลึกกว่านั้น จะพบว่า ครม.ชุดใหม่นี้อาจเป็น “ชุดรับศึก” สำหรับความเป็นไปได้ทั้งสองทาง คือ หนึ่ง การต่อสู้ทางกฎหมายของแพทองธาร ที่หากศาลวินิจฉัยว่าไม่สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้ จะต้องมีการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างเป็นทางการ และสอง การเลือกตั้งใหม่ หากรัฐบาลไม่สามารถรักษาเสถียรภาพได้

ดังนั้นการวางตำแหน่งรัฐมนตรีในช่วงเปลี่ยนผ่านจึงมีนัยทางการเมืองสูง ไม่ใช่เพียงการสับเปลี่ยนเชิงบริหาร แต่เป็นการวางยุทธศาสตร์ภายในพรรคและในแนวร่วมรัฐบาลเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ที่พรรคเพื่อไทยเองก็ยังไม่เคยเจอมาก่อน

ประธาน กสทช. อู้ฟู่ รวยขึ้นกว่า 100 ล้านใน 3 ปี

ทรัมป์ไม่สนับสนุนรถไฟฟ้า จวก “มัสก์” ให้ปิดบริษัทไปอยู่บ้านเกิด